เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้
เราใช้ Cookies เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีที่สุด สรุปนโยบายความเป็นส่วนตัวและ Cookies อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Policy)
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
โรงพยาบาลรามคำแหง (“โรงพยาบาล”) ได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ที่ท่านให้โรงพยาบาลใน ระหว่างการร้องขอการบริการ การเยี่ยมชมเว็บไซต์
หรือใช้แอพพลิเคชั่นของหรือจากโรงพยาบาล นโยบาย คุ้มครองข้อมูลส่วน
บุคคลนี้รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวคุณโดยเป็นการส่งต่อมาจากบุคคลที่สาม
ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง “ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือ ทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ”
การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
1. โรงพยาบาลเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของ ท่าน ที่สามารถระบุตัวตนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อประโยชน์ต่อท่านในระยะเวลาที่เหมาะสมจำเป็นต่อการให้บริการ ในกรณีที่ท่านเป็นผู้ให้ข้อมูล กับโรงพยาบาล หรือร้องขอการบริการจากโรงพยาบาลผ่านช่องทางเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่นหรือ ช่องทางอื่นใดของโรงพยาบาล อาทิเช่น การนัดหมายแพทย์ การทำธุรกรรมแบบออนไลน์ การสมัครรับจดหมายข่าว การขอรับความช่วยเหลือพิเศษ รวมไปถึงการทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ เช่น การลงทะเบียนผู้ป่วยที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนของโรงพยาบาล หรือจากความสมัครใจ ของท่านใน การทำแบบสอบถาม (Survey) หรือการโต้ตอบทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) หรือการกรอก ให้ข้อมูลประกอบการสมัครงาน หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ระหว่างโรงพยาบาล และท่าน
2. โรงพยาบาลอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลที่สาม เช่นธุรกิจในเครือข่าย ตัวแทน จำหน่าย หรือผู้ให้บริการของโรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ
ข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวมจากท่านจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของการเก็บรวบรวม และประเภทของการบริการที่ท่านร้องขอจากโรงพยาบาล ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูกนำมาใช้เพื่อให้การทำธุรกรรมออนไลน์หรือออฟไลน์ หรือบริการที่ได้รับการร้องขอเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาล เก็บรวบรวมโดยตรงจากท่าน หรือจากบุคคลที่สาม มีดังนี้
1) ข้อมูลระบุตัวตน เช่น ชื่อ ภาพถ่าย เพศ วัน เดือน ปีเกิด หนังสือเดินทาง หมายเลขบัตรประชาชน หรือหมายเลขที่สามารถระบุตัวตนอื่นๆ
2) ข้อมูลสำหรับการติดต่อ เช่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลล์
3) ข้อมูลการชำระเงิน เช่น ข้อมูลการเรียกเก็บเงิน ข้อมูลบัตรเครดิตหรือเดบิต และ รายละเอียดบัญชี ธนาคาร
4) ข้อมูลการเข้ารับบริการ เช่น ข้อมูลการนัดหมายแพทย์ ข้อมูลส่วนบุคคลของญาติ ความต้องการ เกี่ยวกับห้องพัก อาหาร และบริการเสริมอื่นๆ
5) ข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาด เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อร่วมกิจกรรมกับเรา
6) ข้อมูลสถิติ เช่น จำนวนผู้ป่วย และการเข้าชมเว็บไซต์
7) ข้อมูลจากการเข้าใช้เว็บไซต์ของโรงพยาบาล
8) ข้อมูลด้านสุขภาพ รายงานที่เกี่ยวกับสุขภาพกาย และสุขภาพจิต การดูแลสุขภาพของท่าน ผลการทดสอบจากห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ และการวินิจฉัย
9) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาและการแพ้ยาของท่าน
10) ข้อมูล Feedback และผลการรักษาที่ท่านให้ไว้
เราจะไม่เก็บและใช้ข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนของคุณ เช่น เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา ประวัติอาชญากร เว้นแต่เป็นไปตามที่ข้อบังคับและกฎหมายกำหนด หรือโดยความยินยอมของท่าน
การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1) จัดหาบริการ หรือส่งมอบบริการของโรงพยาบาล
2) นัดหมายแพทย์ ส่งข่าวสาร แนะนำบริการของโรงพยาบาล
3) การประสานงานและส่งต่อข้อมูลซึ่งจะช่วยให้การส่งต่อผู้ป่วยมีความรวดเร็วขึ้น
4) การยืนยันตัวตนของผู้ป่วย
5) ส่งข้อความแจ้งเตือนการนัดหมายแพทย์ หรือการเสนอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาล
6) อำนวยความสะดวกและนำเสนอรายการสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ท่าน
7) จุดประสงค์ด้านการตลาด การส่งเสริมการขาย และการลูกค้าสัมพันธ์ เช่น การส่งข้อมูลเกี่ยวกับ โปรโมชั่น ผลิตภัณฑ์และบริการ รายการส่งเสริมการขาย และธุรกิจพันธมิตร
8) เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร ตอบค าถาม หรือตอบสนองข้อร้องเรียน
9) สำรวจความพึงพอใจของลูกค้า วิจัยตลาด วิเคราะห์ทางสถิติประมวลผลและแสดงผลเพื่อเป็น ข้อมูลในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ หรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ ให้แก่ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น
10) วัตถุประสงค์ทางบัญชีหรือทางการเงิน เช่นการตรวจสอบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต การเรียกเก็บเงินและการตรวจสอบความถูกต้อง การขอคืนเงิน
11) รักษาความปลอดภัย รวมถึงความปลอดภัยขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล
12) เพื่อวัตถุประสงค์ในการสมัครงาน การเป็นพนักงาน หรือวัตถุประสงค์อื่นใดที่เกี่ยวข้อง
13) ปฏิบัติตามกฎของโรงพยาบาล
14) ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกำหนด ระเบียบ ข้อบังคับ หรือการร้องขอใดๆจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น การปฏิบัติตามหมายเรียกพยาน หรือคำสั่งศาล หรือการร้องขออื่นๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
15) วัตถุประสงค์อื่นๆ ที่สนับสนุนการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ข้างต้น หรือที่ได้รับความยินยอมจาก ท่านเป็นครั้งคราว
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลอาจเปิดเผยหรือถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังบุคคลที่สาม ซึ่งอาจตั้งอยู่ภายในหรือ นอกราชอาณาจักร โดยโรงพยาบาลจะดำเนินตามมาตรการที่จำเป็นและเหมาะสม หรือเป็นไปตามข้อบังคับและ กฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ที่ตามระบุไว้ข้างต้น ให้แก่
1) พันธมิตรทางธุรกิจ เช่น บริษัทประกัน พันธมิตรที่เข้าร่วมรายการโปรแกรมสะสมคะแนน และสิทธิ ประโยชน์และศูนย์การแพทย์ และหรือบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการให้บริการ
2) ธนาคาร และผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิต หรือเดบิต
3) เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงและความปลอดภัย
4) หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานศุลกากร
5) หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และหน่วยงานอื่นๆ ตามที่กฎหมายอนุญาต หรือกำหนดไว้
การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบนมือถือของโรงพยาบาล อาจมีลิงก์เชื่อมไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม หากท่านไปตาม ลิงก์เหล่านี้ นโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ไม่มีผลกับเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม โปรดทราบว่าโรงพยาบาลไม่ สามารถรับผิดชอบใดๆ ต่อการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยบุคคลที่สามดังกล่าว เนื่องจากอยู่นอกการ ควบคุมของโรงพยาบาล
การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล และความปลอดภัย
1. ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูก เก็บรักษาไว้นานเท่าที่จำเป็น เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ตามที่อธิบาย ไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ หรือภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย หรือเพื่อการดำเนินการทาง กฎหมาย
2. โรงพยาบาลจะใช้มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการบริหารจัดการที่เหมาะสมเพื่อ ป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
1. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม (right to withdraw consent) : ท่านมีสิทธิในการเพิกถอนความ ยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมกับโรงพยาบาลได้ ตลอดระยะเวลาที่ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับโรงพยาบาล
2. สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (right of access) : ท่านมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและ ขอให้โรงพยาบาลทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้โรงพยาบาลเปิดเผยการได้มาซึ่ง ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมต่อโรงพยาบาลได้
3. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง (right to rectification) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาล แก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือเพิ่มเติมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์
4. สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล (right to erasure) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาลท าการลบข้อมูล ของท่านด้วยเหตุบางประการได้
5. สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล (right to restriction of processing) : ท่านมีสิทธิในการระงับการ ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
6. สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล (right to data portability) : ท่านมีสิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วน บุคคลของท่านที่ท่านให้ไว้กับโรงพยาบาลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลรายอื่น หรือตัวท่านเองด้วยเหตุบางประการได้
7. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (right to object) : ท่านมีสิทธิในการคัดค้านการ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
ท่านสามารถร้องขอการเข้าถึงหรือขอให้อัพเดตและแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน รวมถึงสิทธิอื่นใดข้างต้น หรือสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ใช้บังคับ เช่น ขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือขอให้ระงับการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน กรณีเห็นว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกนำไปใช้เกิน ขอบเขตวัตถุประสงค์การใช้งานที่แจ้งให้ทราบข้างต้น หรือไม่ได้รับความยินยอมจากท่าน
การเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะทำการพิจารณาทบทวนนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติ กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโรงพยาบาลจะแจ้ง ให้ท่านทราบด้วยการ อัพเดตข้อมูลลงในเว็บไซต์ของโรงพยาบาล https://www.ram-hosp.co.th/contactus โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้หากท่านมีคำถาม ข้อเสนอแนะ และข้อร้องเรียนเกี่ยวกับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโปรดติดต่อได้ที่อีเมลล์ support@ram-hosp.co.th
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 01 มิถุนายน 2565
(นพ.พิชญ สมบูรณสิน)
กรรมการบริหาร
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
ยาคุมกำเนิด วัคซีนโควิด
และการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ
พญ. ศรีสุภา เลาห์ภากรณ์
สูติ - นรีเวช ผู้เชี่ยวชาญมะเร็งวิทยานรีเวช
และการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
ประเด็นข้อสงสัยคือ
ขอตอบตามหลักฐานทางวิชาการที่มีอยู่ตอนนี้ ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ถ้ามีข้อมูลใหม่เพิ่มเติม
ยาคุมเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันไหม?
อันดับแรกมาทำความรู้จักกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (Venous Thromboembolism: VTE) คือ ภาวะที่มีลิ่มเลือดเกิดในหลอดเลือดดำ อาจเป็นเส้นเลือดระดับตื้น (superficial vein) หรือระดับลึก (deep vein)
ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก (Deep Vein Thrombosis: DVT) คือ ภาวะที่มีลิ่มเลือดก่อตัวที่หลอดเลือดดำส่วนลึกในร่างกายโดยอาจเกิดขึ้นที่ตำแหน่งเดียวหรือหลายตำแหน่ง มักเกิดที่ขา ถ้าเฉียบพลันมีอาการขาบวม แดงและปวด จัดเป็นภาวะที่อันตรายเนื่องจากลิ่มเลือดที่อุดกั้นอาจหลุดไปตามกระแสเลือดและไปอุดตันบริเวณหลอดเลือดดำในปอด (pulmonary embolism: PE) ได้ ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูง
ภาพแสดงการลิ่มเลือดดำส่วนลึกที่ขาและมีการไหลเวียนไปอุดตันที่ปอด
ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.chelwest.nhs.uk/your-visit/patient-leaflets/support-services/are-you-at-risk-of-blood-clots-dvt-deep-vein-thrombosis-and-pe-pulmonary-embolism
ยาคุมในที่จะกล่าวถึงคือยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมชนิดทานซึ่งประกอบด้วย เอสโตรเจน (estrogen) และโปรเจสติน (progestin) ให้ดูที่กล่องยาหรือแผงยาที่เราทาน แบ่งตามระดับเอสโตรเจน ซึ่งระดับเอสโตรเจนสูง (≥ 50ไมโครกรัม)มีผลต่อความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือดอุดตันมากกว่าระดับยาระดับเอสโตรเจนต่ำ (≤ 35ไมโครกรัม)) โดยกลไกที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นและลดลงของปัจจัยการแข็งตัวของเลือด
ส่วนโปรเจสตินแบ่งได้อีกเป็น4รุ่นแต่ละรุ่นที่นำมาใช้ในยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมที่มีเอสโตรเจนก็ส่งผลต่อความเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตันต่างกัน
ยาคุมชนิดอื่นๆ ที่ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียว เช่นยาคุมฮอร์โมนเดี่ยวชนิดทาน (mini pill, ที่ใช้ในสตรีหลังคลอดได้แก่ exluton หรือ cerazett) แบบฉีดเข้ากล้าม (DMPA) แบบฝังใต้ท้องแขน (implanon แบบ1หลอดหรือ 2หลอด) แบบห่วงที่มีฮอร์โมน (mirena) จากข้อมูลพบว่ามีความเสี่ยงน้อยหรือไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดดำอุดตัน
ส่วนยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมแบบแผ่นแปะ (patch) หรือห่วงวงกลม (ring) ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน(VTE)ต่างจากยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมทาน (COC) คือมีความเสี่ยงภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ เทียบเคียงยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม
สรุปจากข้อมูลในปัจจุบันพบว่า ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดดำอุดตัน 3-9 รายต่อ 10,000 ราย เทียบกับสตรีที่ไม่ได้ทานยาคุมและไม่ตั้งครรภ์ 1-5 รายต่อ10,000 ราย (ACOG committee opinion No.540 November2012) หรือประมาณ 2-5เท่า ขึ้นกับปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนและชนิดโปรเจสโตเจนในยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมและความเสี่ยงจะสูงในช่วงเดือนแรกของการเริ่มรับประทานยา
ส่วนในสตรีตั้งครรภ์และหลังคลอด12สัปดาห์ มีความเสี่ยงสูง 12เท่า (48-60/10,000) ซึ่งสูงกว่าการทานยาคุมกำเนิดฮอร์โมนรวมมาก
ตารางแสดงความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดดำอุดตันในหลอดเลือดดำโดยแบ่งตามปริมาณเอสโตรเจนและชนิดโปรเจสติน ในยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานยาคุม (The relative risk of venous thromboembolism in current users of different types of hormonal contraception according to estrogen dose, progestin type and route of administration. Nonusers reference group)1
ขอบคุณรูปภาพจาก : Lidegaard, Øjvind. (2014). Hormonal contraception, thrombosis and age. Expert opinion on drug safety. 13. 1353-60.
ส่วนยา visanne ที่มีส่วนประกอบเป็นฮอร์โมนโปรเจสโตเจนตัวเดียวคือdinogest 2mg ที่ใช้รักษาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลชัดเจนต่อความเสี่ยงต่อลิ่มเลือดดำอุดตัน
แต่อย่ากังวลเรื่องยาคุมฮอร์โมนรวมกับการเกิดลิ่มเลือดดำอุดตัน (venous thromboembolism) เพราะยังมีประโยชน์ในหลายด้าน นอกเหนือการคุมกำเนิด เช่นนำมาใช้รักษาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) อาการปวดท้องประจำเดือน (dysmenorrhea) ประจำเดือนออกมาก (hypermenorrhea) ออกผิดปกติหรือจากภาวะถุงน้ำในรังไข่ (PCOS) รักษาภาวะฮอร์โมนเพศชายเกินเช่น สิว ขนดก หน้ามัน รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งรังไข่ และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
ดังนั้นการทานยาคุมเพื่อคุมกำเนิดและเพื่อการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม ติดตามอาการสม่ำเสมอจะปลอดภัยจากผลข้างเคียงได้ แพทย์หรือเภสัชจะให้คำแนะนำประเมินความเสี่ยงอื่นๆ รวมทั้งโรคประจำตัว ข้อห้ามในการทานก่อนเริ่มยาคุม
สตรีที่ทานยาคุมควรหมั่นดูแลและตรวจสุขภาพสังเกตอาการ ผลข้างเคียงและลดความเสี่ยงอื่นๆ ที่จะเพิ่มการเกิดภาวะลิ่มเลือดดำอุดตันเช่น ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน งดบุหรี่ เป็นต้น
ภาพแสดงสาเหตุและความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก
(Causes and Risk Factors of Deep Vein Thrombosis)2
ขอบคุณรูปภาพจาก : By Dawn Stacey, PhD, LMHC Medically reviewed by Scott Sundick, MD on March 03, 202
วัคซีนทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันไหม?
มีรายงานการเกิดภาวะหลอดเลือดดำอุดตันที่สมอง cerebral venous sinus thrombosis (CVST) ซึ่งเกิดพร้อมกับเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) หรือภาวะ vaccine-induced prothrombotic immune thrombocytopenia (VIPIT) หลังจากได้รับวัคซีน AstraZeneca จากข้อมูลถึงเดือนมีนาคม2021 พบรายงานการเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากการฉีดวัคซีน AstraZeneca ในสหราชอาณาจักร 79 รายและมักพบบ่อยในผู้หญิงอายุน้อยกว่า 55 ปี เกิดขึ้นในช่วง 4-20 วันหลังฉีดวัคซีน (younger women) โดยพบภาวะลิ่มเลือดอุดดำตันในคนที่ได้รับวัคซีน AstraZeneca 1 ต่อ 250,000 ในขณะที่พบรายงานการเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากการทานยาคุม 1 รายต่อสตรี 1,000 รายในแต่ละปี โดยที่ขบวนการเกิดลิ่มเลือดอุดตันต่างกัน จะเห็นว่าการเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากวัคซีนพบน้อยกว่าการทานยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม
จากข้อมูลดังกล่าวทาง MHRA (Medicines & Healthcare products Regulatory Agency) พบว่ายังมีความปลอดภัยและมีประโยชน์มากในการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด ส่วนผลข้างเคียงที่เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันกับเกล็ดเลือดต่ำซึ่งพบน้อยยังคงต้องติดตามการศึกษาต่อไป
คำแนะนำสำหรับสังเกตอาการหลังได้วัคซีน 4 วันถ้ามีอาการดังต่อไปนี้ให้รีบมาพบแพทย์ทันที
ทานยาคุมแล้วฉีดวัคซีนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันไหมแล้วจะต้องหยุดทานไหม?
ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันชัดเจน และกลไกการเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากยาคุมฮอร์โมนรวมกับการฉีดวัคซีนต่างกัน ในสตรีตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดดำอุดตันมากกว่าการทานยาคุมมีคำแนะนำในการฉีดวัคซีนเช่นกัน คำแนะนำตามเอกสารอ้างอิง6-9
จากข้อมูลปัจจุบันผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนทุกชนิดสามารถรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ โดยไม่จำเป็นต้องหยุดยาเนื่องจาก ยังไม่พบเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดดำอุดตันแต่อย่างใด และสตรีตั้งครรภ์หลัง 12 สัปดาห์ หรือช่วงหลังคลอดให้นมบุตรสามารถรับวัคซีนโควิด-19 ได้เช่นกันโดยพิจารณาตามความเสี่ยง และโรคประจำตัว
ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนทุกชนิดสามารถรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ โดยไม่จำเป็นต้องหยุดยาเนื่องจาก ยังไม่พบเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดดำอุดตันแต่อย่างใด
นัดพบแพทย์คลิก
พญ. ศรีสุภา เลาห์ภากรณ์
สูติ - นรีเวช ผู้เชี่ยวชาญมะเร็งวิทยานรีเวช
และการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
เอกสารอ้างอิง
1. Lidegaard, Øjvind. (2014). Hormonal contraception, thrombosis and age. Expert opinion on drug safety. 13. 1353-60.
2.อ้างอิงBy Dawn Stacey, PhD, LMHC Medically reviewed by Scott Sundick, MD on March 03, 202
3. Medicines and healthcare products regulatory agency. Coronavirus vaccine – weekly summary of yellow card reporting[Internet]. [place unknown]: GOV.UK. 2021 May 27.
Available from: https://www.gov.uk/government/publications/coronavirus-covid-19-vaccine-adverse-reactions/coronavirus-vaccine-summary-of-yellow-card-reporting
4. Medicines and healthcare products regulatory agency. MHRA issues new advice, concluding a possible link between COVID-19 Vaccine AstraZeneca and extremely rare, unlikely to occur blood clots[Internet]. [place unknown]: GOV.UK. 2021 Apr 7.
https://www.gov.uk/government/news/mhra-issues-new-advice-concluding-a-possible-link-between-covid-19-vaccine-astrazeneca-and-extremely-rare-unlikely-to-occur-blood-clots
5. Taylor Adam. Blood clot risks: comparing the AstraZeneca vaccine and the contraceptive pill [Internet]. Australia: The conversation; 2021 Apr 10 [updated 2021Apr 12].
Available from: https://theconversation.com/blood-clot-risks-comparing-the-astrazeneca-vaccine-and-the-contraceptive-pill-158652
6. ประกาศราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยที่07/2564 เรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิท-19 และการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน
7.ประกาศราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยที่06/2564 เรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิท-19ในสตรีตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
8. กรมควบคุมโรค และคณะผู้เชี่ยวชาญเหตุการณ์ไม่พึงปรสงค์ภายหลังการได้รับวัคซีน ฉบับที่ 31 พฤษภาคม 2564 เรื่องภาวการณ์เกิดลิ่มเลือดอุดตันในปอดกับวัคซีนโควิด19
9. กรมอนามัย และคณะกรรมการอนามัยแม่และเด็กแห่งชาติ เรื่องหญิงท้อง-หญิงให้นมลูกฉีดวัคซีนโควิดได้ พิจารณาตามความเสี่ยง มีโรคประจำตัว 29พฤษภาคม 2564
9/6/64
โรงพยาบาลรามคำแหง
436 ถ. รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
1512, 02-743-9999
แฟกซ์ 0 2374 0804
support@ram-hosp.co.th