จะรู้ได้อย่างไร? ว่าเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า

October 23 / 2024

ตรวจหัวใจ

 

 


     คนจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าตัวเองกำลังเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ และมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่หลงไปว่าอาการที่ตัวเองเป็นอยู่บ่อยๆ เป็นอาการของโรคที่ไม่ร้ายแรง เป็นเพราะมีกรดในกระเพาะมาก เป็นเพราะเพลียจากการหักโหมงาน กินยาขับลมช่วยย่อย หรือพองานน้อยลงทุกอย่างก็จะดีไปเอง กว่าจะรู้ว่ามันเป็นอาการของโรคหัวใจมันก็สายไปเสียแล้ว วิธีที่ดีที่สุดจะบอกให้ได้แน่นอนว่าอาการต่างๆ ที่น่าสงสัยนั้นเป็นอาการของโรคหัวใจหรือเปล่าก็คือการไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คให้แน่ใจ

 

 

วิธีการตรวจความผิดปกติของหัวใจ


1.  การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram)

     หรือที่เรียกว่า EKG เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อหัวใจ โดยมีรูปแบบของคลื่นไฟฟ้าอัตราและจังหวะที่อาจเปลี่ยนแปลงตามความผิดปกติของหัวใจ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจถือว่าเป็นการตรวจที่ง่าย สะดวกและไร้อาการเจ็บ 

 

ขั้นตอนการตรวจ

  • นำสื่อนำคลื่นไฟฟ้าขนาดเล็กที่วางไว้ตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ บริเวณหน้าอก แขน และขา และบันทึกกราฟแสดงคลื่นไฟฟ้าหัวใจลงบนกระดาษ
  • ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที แต่บางทีเราอาจจะไม่พบคลื่นไฟฟ้าที่ผิดปกติของผู้ป่วยโรคหัวใจบางชนิดในการตรวจแบบปรกติ เนื่องจากหากหัวใจไม่ได้ทำงานหนัก การเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจอาจยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งอาจต้องใช้การทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกายต่อไป

 

อ่านเพิ่มเติม: การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เข้าใจทุกจังหวะ เฝ้าสังเกตทุกความผิดแปลก

 

 

ตรวจหัวใจตรวจหัวใจตรวจหัวใจ

 

 

2.  การบันทึกคลื่นไฟฟ้าชนิดติดตัว (Holter moniter) 

     แม้ผู้ป่วยบางรายที่มารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและไม่พบความผิดปกติในขณะนั้น ผู้เข้ารับการตรวจอาจยังมีอาการที่น่าสงสัย แพทย์อาจแนะนำให้ใช้เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจชนิดติดตัวตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อทราบว่าตลอดการใช้ชีวิตของผู้เข้ารับการตรวจมีผลให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ 

 

ขั้นตอนการตรวจ

  • แพทย์จะนำเทปที่บันทึกไว้มาแปลผลโดยเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เมื่อครบกำหนดเวลา เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ว่ามีความผิดปกติหรือไม่

 

 

ตรวจหัวใจ

 

 

3.  การตรวจสภาพหัวใจ (Exercise Stress Test) 

     การตรวจสมรรถภาพหัวใจ (EST) เน้นให้ผู้เข้ารับการตรวจการเดินบนสายพานเลื่อนหรือปั่นจักรยานออกกำลังกาย เพื่อทดสอบว่ามีปริมาณเลือดมาเลี้ยงเพียงพอหรือไม่เมื่อแยู่ภายใต้สภาวะที่หัวใจทำงานมากขึ้น มีความต้องการออกซิเจนจากเลือดที่หล่อเลี้ยงมากขึ้นนั้น

 

ขั้นตอนการตรวจ

  • ในรายที่มีหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตันอยู่ เมื่อทำการทดสอบคลื่นไฟฟ้า หัวใจจะแสดงสภาพของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้อย่างชัดเจนและบ่งบอกระดับความรุนแรงของโรค ว่าต้องเข้ารับการตรวจเพิ่มด้วยการสวนหัวใจแล้วหรือยัง

 

4.  การตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง

     หรือรู้จักในอีกชื่อการตรวจเอคโค่หัวใจ (ECHO: Echocardiography) คือการใช้เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ช่วยตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง ซึ่งทำให้เห็นการเคลื่อนและบีบตัวของหัวใจว่าปกติดีหรือไม่ ความเร็วและความดันเลือดเป็นอย่างไร ตลอดจนตรวจดูความพิการของหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจและโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ เพื่อช่วยตัดสินใจว่าจะใช้การรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัด ทั้งยังใช้พยากรณ์โรคได้ 

 

ข้อควรรู้เรื่องการตรวจ

  • การตรวจนี้จะไม่มีอันตรายและไม่มีความเจ็บปวดใด
  • ใช้เวลาในการตรวจราว 20-30 นาที ใช้หลักการส่งคลื่นความถี่สูงลงไปบริเวณหัวใจ เมื่อกระทบส่วนต่าง ๆ ของหัวใจจะสะท้อนกลับมายังเครื่องเพื่อแสดงผลเป็นเงาตามความหนาบาง เนื้อเยื่อที่เลี้ยงไปกระทบและส่งกลับ รูปร่างของหัวใจ ความหนาของผนังหัวใจผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับลิ้นหัวใจ การเคลื่อนไหวของผนังหัวใจเปรียบเทียบกัน ทั้งขณะที่พักหรือนอนเฉย ๆ กับขณะที่มีการออกกำลังกาย 
  • การตรวจวิธีนี้สามารถดูได้จากจอแสดงผล และบันทึกเก็บไว้เป็นรูปภาพได้ เพื่อการตรวจสอบต่อไปในอนาคต

 

 

ตรวจหัวใจตรวจหัวใจตรวจหัวใจ

 

 

5.  การตรวจความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดใหญ่ 

     การตรวจความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดใหญ่ยังช่วยบ่งชี้โอกาสเสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ อัมพาต-อัมพฤกษ์ ซึ่งเมื่อพบความผิดปกติจะสามารถพิจารณาให้ยาเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยง รวมทั้งการตรวจวัดดัชนีการแข็งตัวของหลอดเลือดด้วยเครื่องวัด ABI (Ankle-Brachial Index) ซึ่งได้จากการวัดแรงดันโลหิตตรงส่วนปลายขา เทียบสัดส่วนกับแรงดันโลหิตที่แขนข้างเดียวกัน

 

ตรวจหัวใจตรวจหัวใจ

 

 

6.  MRI (Magnetic Resonance Imaging) 

     เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยล่าสุดที่รังสีแพทย์ใช้ในการตรวจและแสดงภาพอวัยวะต่างๆ ได้ใกล้เคียงกับอวัยวะจริงมากที่สุด เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคที่มีความไวและจำเพาะในการวินิจฉัยโรค โดยการส่งผ่านคลื่นความถี่วิทยุไปยังผู้ป่วยอยู่ในอุโมงค์สนามแม่เหล็กแรงสูง ซึ่งไม่มีสารรังสีเอกซเรย์หรือสารทึบรังสีประเภทไอโอดีน ในการตรวจ MRI จะบอกความสามารถในการบีบตัวของหัวใจ และสามารถใช้ดูเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ ว่าอุดตันหรือไม่ การตรวจนี้ไม่จำเป็นต้องงดน้ำและอาหารก่อนเข้ารับการตรวจ สำหรับผู้ป่วยที่ให้ความร่วมมือในการนอนนิ่งๆได้ดี นานประมาณ30-90นาที โดยขณะนอนตรวจต้องนอนนิ่งๆ และหายใจเป็นจังหวะตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำ จะไม่เจ็บปวดขณะตรวจ

 

ตรวจหัวใจ
 

 

7.  การตรวจสวนหัวใจ (Coronary angiogram) 

     แพทย์จะตรวจการฉีดสีด้วยสายสวนขนาดเล็กเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 2 มม.ใส่เข้าไปตามหลอดเลือดแดง ซึ่งอาจใส่จากบริเวณขาหนีบ ข้อพับแขนหรือข้อมือ ไปถึงจุดที่เป็นรูเปิดของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจทั้งซ้ายและขวา จากนั้นแพทย์จะใช้สารละลายทึบรังสีเอกซเรย์ หรือที่เรียก“สี” ฉีดเข้าทางสายสวนนั้นไปที่หลอดเลือดโคโรนารี่ (ซึ่งก็คือเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ) เพื่อตรวจสอบดูว่ามีการตีบแคบหรือตันของหลอดเลือดหรือไม่ ความรุนแรงมากน้อยขนาดไหน และที่ตำแหน่งใดบ้าง เกิดขึ้นที่เส้นเลือดกี่เส้น ล้วนเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป ใช้เวลาในการตรวจประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง 

 

 

ตรวจหัวใจ

 

 

8.  ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 128 Slice 

     เพื่อตรวจพยาธิสภาพของหลอดเลือดหัวใจ โดยไม่ต้องใส่สายสวนผ่านหลอดเลือดแดง เพื่อใช้ในการวินิจฉัยหลอดเลือดหัวใจ อีกทั้งสามารถตรวจหาปริมาณแคลเซียมหรือหินปูนที่เกาะตามผนังหลอดเลือดหัวใจ และสามารถตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ลักษณะทางกายภาพของหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจ ภาพที่ได้จะถูกประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพชัดเจน และแม่นยำใช้เวลาตรวจเพียง 15-30 นาที ผู้รับการตรวจสามารถกลับบ้านได้ทันที เมื่อทำการตรวจเสร็จ

 

ตรวจหัวใจ

 

 

การฟื้นฟูสมรรถภาพ 
     ก่อนที่ท่านกลับบ้าน ท่านจะได้รับการอธิบายเกี่ยวกับการรับประทานอาหารและยาที่จำเป็น โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัดและบุคลากรที่ชำนาญ เพื่อให้คำแนะนำและดูแลอย่างต่อเนื่องในช่วงฟื้นฟูสุขภาพภายหลังการผ่าตัดอย่างถูกต้อง ตลอดจนการออกกำลังกายที่เหมาะสม เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ป่วยนำไปปฏิบัติต่อไป การกลับมาพบแพทย์ตามนัดภายหลังจากการกลับบ้านเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะอาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าเส้นเลือดของหัวใจมีการไหลเวียนโลหิตได้ดี 

 

คนจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าตัวเองกำลังเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ และมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่หลงไปว่าอาการที่ตัวเองเป็นอยู่บ่อยๆ เป็นอาการของโรคที่ไม่ร้ายแรง