รู้โรคเกาต์ แก้โรคทัน! พร้อมเลือกอาหารเพื่อใช้แก้ให้ถูกโรค

November 07 / 2024

โรคเกาต์

 

     โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งซึ่งก่ออาการปวดข้อรุนแรงได้ หากไม่รีบรักษาจะมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต วันนี้ศูนย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลรามคำแหงพร้อมพารู้จักโรคเกาต์และวิธีเลือกอาหารที่ช่วยลดกรดยูริกในร่างกาย พร้อมเคล็ดลับในการปรับพฤติกรรมการกินเพื่อควบคุมโรคเกาต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

โรคเกาต์คืออะไร

     โรคเกาต์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบซีึ่งเกิดจากกรดยูริคในเลือดสูง โดยทั่วไปเป็นผลจากพันธุกรรมและภาวะแวดล้อม ส่งผลให้เกิดการสะสมภายในข้อต่าง ๆ ของร่างกาย ก่อให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน

 

 

ระดับกรดยูริคในเลือดควรเป็นเท่าไหร่

 

  • ผู้ชาย ควรมีกรดยูริคในเลือดน้อยกว่า 7 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  • ผู้หญิง ควรมีกรดยูริคในเลือดน้อยกว่า 6 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

 

เพราะเหตุที่ทำให้กรดยูริคจึงสูง

สาเหตุที่กรดยูริคสูงขึ้นนั้น อาจเป็นผลมาจาก

 

  • ไตไม่สามารถขับกรดยูริคได้ตามปกติ โดยอาจเป็นปัจจัยทางพันธุกรรม ไตเสื่อมหรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
  • การรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เมื่อร่างกายเผาผลาญพิวรีนให้กลายสภาพเป็นกรดยูริคในเลือด ส่งผลให้ก่อโรคหรือภาวะที่ผิดปกติของร่างกาย ทำให้เกิดการสลายตัวของเซลล์และอวัยวะที่ผิดปกติ

 

 

จะดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคเกาต์อย่างไร

 

  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากส่งผลให้กรดยูริคในเลือดสูงขึ้น รวมทั้งลดการขับกรดยูริคออกจากร่างกาย
  • ควรรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ในผู้ที่น้ำหนักเกินควรลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีพิวรีนสูง อันก่อให้เกิดระดับกรดยูริคในเลือดสูง
  • ไม่ทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์มากเกินไป โดยเฉพาะเครื่องในสัตว์ แนะนำให้เลือกรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อป้องกันการสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงาน
  • ควรหลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มไขมันสูง เช่น อาหารทอด อาหารผัดที่ใส่น้ำมันมากๆ และเนื้อสัตว์ติดมัน เนื่องจากอาหารที่มีไขมันสูงทำให้การขับกรดยูริคลดน้อยลง
  • เลือกปรุงอาหารด้วยวิธีนึ่ง ตุ๋น ต้ม ย่าง หรือผัดที่ใช้น้ำมันน้อย เพื่อลดการรับประทานไขมันจากอาหาร
  • ไม่ควรรับประทานน้ำหวานหรืออาหารที่มีส่วนผสมของฟรุกโตสมากเกินไป เพราะสามารถทำให้ระดับกรดยูริคในเลือดสูงดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

 

 

อาหารพิวรีนน้อย

(0 – 15 มิลลิกรัม/อาหาร 100  กรัม) สามารถทานได้

 

  • ข้าวแป้ง ข้าวขาว ขนมปัง สาคู ข้าวโพด แครกเกอร์ ก๋วยเตี๋ยว  มักกะโรนี พาสต้า มันฝรั่ง มันเทศ
  • ผัก ผักต่างๆ (ยกเว้นบางชนิดที่มีพิวรีนมากและส่วนของยอดผัก)
  • ผลไม้ ผลไม้ต่างๆ น้ำผลไม้
  • เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ ไข่เป็ด เนยแข็ง
  • นม นมพร่องมันเนย นมขาดมันเนย
  • ไขมัน น้ำมันที่ใช้ประกอบอาหาร เนย
  • อื่นๆ น้ำส้มสายชู วุ้น เจลาติน พุดดิ้ง คัสตาร์ด เครื่องเทศชนิดต่างๆ

 

 

อาหารพิวรีนปานกลาง

(50 - 150มิลลิกรัม/อาหาร 100 กรัม) ควรลดปริมาณลง

 

  • ข้าวแป้ง ข้าวโอ๊ต ข้าวแดง ข้าวที่ไม่ขัดจนขาว บิสกิต ยอดข้าวสาลี
  • ผัก ใบขี้เหล็ก หน่อไม้ สะตอ ผักโขม ดอกกะหล่ำปลี เมล็ดถั่วลันเตา
  • เนื้อสัตว์ เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ปลากะพง ปลาทูน่า ปลาแซลมอล ปู แฮม ปลาหมึก
  • ไขมัน ถั่วลิสง

 

 

อาหารพิวรีนสูง

(มากกว่า150 มิลลิกรัม/อาหาร 100 กรัม) ควรหลีกเลี่ยง

 

  • ข้าวแป้ง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง
  • ผัก กระถิน ชะอม ยอดตำลึง ยอดฟักแม้ว ยอดฟักทอง เห็ด
  • เนื้อสัตว์ ไข่ปลา เครื่องในสัตว์ ปลาไส้ตัน ปลาแอนโชวี่ ปลาอินทรีย์ ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลากระตัก กุ้ง หอย ห่าน
  • อื่นๆ น้ำสกัดจากเนื้อ น้ำต้มกระดูก น้ำเกรวี่ น้ำซุป ซุปก้อน น้ำปลา กะปิ ยีสต์

 

 

แก้ไข

06/11/2566