รู้ทัน 'โรคจอประสาทตาเสื่อม' ร่วมนวัตกรรมการตรวจจอประสาทตา OCT

November 25 / 2024

 

 

 

นวัตกรรมการตรวจจอประสาทตา (Optical Coherence Tomography)

การตรวจวิเคราะห์ชั้นจอประสาทตาด้วยเลเซอร์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตรวจจอประสาทตา

 

โรคจอประสาทตาเสื่อม

     โรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD: Age-related Macular Degeneration) เป็นความผิดปกติเกิดขึ้นในจอประสาทตาเนื่องจากวัยที่ร่วงโรย ซึ่งพบมากที่สุดในกลุ่มผู้สูงวัย โดยจากการสำรวจขององค์การอนามัยโลก (WHO) เมื่อปี พ.ศ. 2552 พบว่าโรคจอประสาทตาเสื่อมยังเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้คนสูญเสียการมองเห็นรองจากโรคต้อกระจก โรคสายตาผิดปกติและโรคต้อหิน

 

 

ตรวจจอประสาทตาตรวจจอประสาทตา

 

 

วิธีสังเกตตัวเองเมื่อเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม

     โรคจอประสาทตาเสื่อมอาจแสดงอาการแตกต่างตามแต่สภาพของผู้ป่วย และยังยากต่อผู้ป่วยที่จะสังเกตความผิดปกติในการมองเห็นเองตั้งแต่ระยะเริ่มแรก โดยเฉพาะถ้าตาอีกข้างหนึ่งยังมองเห็นได้ดี ผู้ป่วยอาจไม่สังเกตถึงความผิดปกติไปหลายปี

 

  • หากมีจอประสาทตาเสื่อมเกิดขึ้นในตาทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยจะรู้สึกถึงความผิดปกติในการมองเห็นอย่างรวดเร็ว เช่น มองตรงกลางภาพไม่ชัด ส่วนกลางของภาพที่มองขาดหายไป มืดดำหรือเห็นภาพบิดเบี้ยวไป

 

 

สาเหตุของโรคจอประสาทตาเสื่อม

ส่วนใหญ่แล้ว พบในผู้สูงอายุเชื่อว่าเป็นขบวนการเสื่อมสภาพของร่างกายและพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ ได้แก่

 

  • อายุ พบโรคนี้ได้บ่อยขึ้นในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไป
  • พันธุกรรม ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโรคกับญาติสายตรง จึงแนะนำให้ญาติผู้ป่วยควรได้รับการตรวจเช็คจอประสาทตาทุก 1 ปี
  • บุหรี่ มีงานศึกษาพบว่าการสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคอย่างชัดเจน
  • ความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่มีระดับของคอลเลสเตอรอลในเลือดสูงและมีระดับแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ในเลือดต่ำ ทั้งยังต้องทานยาลดความดันเลือดมีโอกาสเสี่ยงสูงมากต่อการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมแบบสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็ว

 

 

 

ทำไมการตรวจสุขภาพตาจึงสำคัญ ?

     แม้ตายังมองเห็นเป็นปรกติก็ควรได้รับการตรวจสุขภาพตา (รวมทั้งตรวจจอประสาทตา) ทุก 2-4 ปี สำหรับคนที่มีอายุ ตั้งแต่ 50 ปีขั้นไป แนะนำให้ตรวจทุก 1-2 ปี เนื่องจากหากผู้ป่วยส่วนมากจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติจากโรคจอประสาทตาเสื่อมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ดังนั้นหากตรวจพบแต่แรกและเข้ารับการรักษาโรคตั้งแต่เริ่มเป็นจึงเป็นสิ่งจำเป็น หากปล่อยไว้นานจอประสาทตาที่เสื่อมจะเริ่มเสียมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

 

 


การรักษาในปัจจุบันจึงทำได้เพียงหยุดหรือชะลอการเสื่อมเสียของจอประสาทตาให้ช้าที่สุด ซึ่งอาจรักษาไม่ได้เลยหากโรคเป็นรุนแรง


 

 

 

 

การวินิจฉัยโรคจอประสาทตาเสื่อม

จักษุแพทย์ด้านโรคจอประสาทตา ( Retina specialist ) จะมีวิธีตรวจหาความผิดปกติของโรคด้วยการใช้

 

  • กล้องส่องสภาพจอประสาทตา และกล้องจุลทรรศน์สำหรับตา ด้วยเครื่องมือเหล่านี้จึงสามารถใช้ตรวจได้หลายขั้นตอน โดยแยกเป็นกลุ่มหลัก ได้แก่
    • การตรวจพิเศษด้วยเครื่องถ่ายภาพ (Fluorescein angiography) การฉีดสาร Fluorescein เข้าหลอดเลือดดำเพื่อตรวจดูจอประสาทตา
    • การตรวจวิเคราะห์ภาพตัดขวางจอประสาทตาด้วยเลเซอร์ (Optical coherence tomography) เทคโนโลยีล่าสุดในการตรวจจอประสาทตา เพื่อดูลักษณะและขอบเขตความผิดปกติที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นจักษุแพทย์จะกำหนดแนวทางรักษาและพยากรณ์การดำเนินของโรค

 

 

 

โรคจอประสาทตาเสื่อมโรคจอประสาทตาเสื่อม

 

 

 

 

การตรวจจอประสาทตาด้วยเครื่อง (OCT)

     การตรวจจอประสาทตาด้วยเครื่อง OCT (Optical Coherence Tomography) เป็นเครื่องมือตรวจวินิจฉัยพยาธิสภาพในขั้นต่างๆ ของจอประสาทตาโดยสามารถดูได้ละเอียดถึงประมาณ 0.01 มิลลิเมตร การตรวจทำได้ง่ายและรวดเร็วโดยไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ไม่ต้องฉีดยาและไม่ต้องสัมผัสรังสี

 

ครอบคลุมการตรวจโรคใดบ้าง

  • โรคจอประสาทตาจากโรคเบาหวาน
  • โรคจอประสาทตาเสื่อม เนื่องจากอายุ (AMD)
  • โรคจุดรับภาพบวมจากภาวะต่างๆ เช่น เบาหวาน, เส้นเลือดดำที่จอประสาทตาอุดตัน
  • โรคจุดรับภาพฉีกขาด
  • ภาวะผังผืดที่จอประสาทตาและจุดรับภาพ
  • ภาวะจอประสาทตาหลุดลอก
  • ภาวะเส้นเลือดผิดปกติที่จอประสาทตา
  • โรคต้อหิน

 

 

โรคจอประสาทตาเสื่อมโรคจอประสาทตาเสื่อมโรคจอประสาทตาเสื่อม

 

 

 

คนทั่วไปที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ควรได้รับการตรวจจอประสาทตาจากจักษุแพทย์ เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรค