เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้
เราใช้ Cookies เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีที่สุด สรุปนโยบายความเป็นส่วนตัวและ Cookies อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Policy)
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
โรงพยาบาลรามคำแหง (“โรงพยาบาล”) ได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ที่ท่านให้โรงพยาบาลใน ระหว่างการร้องขอการบริการ การเยี่ยมชมเว็บไซต์
หรือใช้แอพพลิเคชั่นของหรือจากโรงพยาบาล นโยบาย คุ้มครองข้อมูลส่วน
บุคคลนี้รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวคุณโดยเป็นการส่งต่อมาจากบุคคลที่สาม
ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง “ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือ ทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ”
การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
1. โรงพยาบาลเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของ ท่าน ที่สามารถระบุตัวตนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อประโยชน์ต่อท่านในระยะเวลาที่เหมาะสมจำเป็นต่อการให้บริการ ในกรณีที่ท่านเป็นผู้ให้ข้อมูล กับโรงพยาบาล หรือร้องขอการบริการจากโรงพยาบาลผ่านช่องทางเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่นหรือ ช่องทางอื่นใดของโรงพยาบาล อาทิเช่น การนัดหมายแพทย์ การทำธุรกรรมแบบออนไลน์ การสมัครรับจดหมายข่าว การขอรับความช่วยเหลือพิเศษ รวมไปถึงการทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ เช่น การลงทะเบียนผู้ป่วยที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนของโรงพยาบาล หรือจากความสมัครใจ ของท่านใน การทำแบบสอบถาม (Survey) หรือการโต้ตอบทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) หรือการกรอก ให้ข้อมูลประกอบการสมัครงาน หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ระหว่างโรงพยาบาล และท่าน
2. โรงพยาบาลอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลที่สาม เช่นธุรกิจในเครือข่าย ตัวแทน จำหน่าย หรือผู้ให้บริการของโรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ
ข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวมจากท่านจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของการเก็บรวบรวม และประเภทของการบริการที่ท่านร้องขอจากโรงพยาบาล ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูกนำมาใช้เพื่อให้การทำธุรกรรมออนไลน์หรือออฟไลน์ หรือบริการที่ได้รับการร้องขอเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาล เก็บรวบรวมโดยตรงจากท่าน หรือจากบุคคลที่สาม มีดังนี้
1) ข้อมูลระบุตัวตน เช่น ชื่อ ภาพถ่าย เพศ วัน เดือน ปีเกิด หนังสือเดินทาง หมายเลขบัตรประชาชน หรือหมายเลขที่สามารถระบุตัวตนอื่นๆ
2) ข้อมูลสำหรับการติดต่อ เช่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลล์
3) ข้อมูลการชำระเงิน เช่น ข้อมูลการเรียกเก็บเงิน ข้อมูลบัตรเครดิตหรือเดบิต และ รายละเอียดบัญชี ธนาคาร
4) ข้อมูลการเข้ารับบริการ เช่น ข้อมูลการนัดหมายแพทย์ ข้อมูลส่วนบุคคลของญาติ ความต้องการ เกี่ยวกับห้องพัก อาหาร และบริการเสริมอื่นๆ
5) ข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาด เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อร่วมกิจกรรมกับเรา
6) ข้อมูลสถิติ เช่น จำนวนผู้ป่วย และการเข้าชมเว็บไซต์
7) ข้อมูลจากการเข้าใช้เว็บไซต์ของโรงพยาบาล
8) ข้อมูลด้านสุขภาพ รายงานที่เกี่ยวกับสุขภาพกาย และสุขภาพจิต การดูแลสุขภาพของท่าน ผลการทดสอบจากห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ และการวินิจฉัย
9) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาและการแพ้ยาของท่าน
10) ข้อมูล Feedback และผลการรักษาที่ท่านให้ไว้
เราจะไม่เก็บและใช้ข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนของคุณ เช่น เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา ประวัติอาชญากร เว้นแต่เป็นไปตามที่ข้อบังคับและกฎหมายกำหนด หรือโดยความยินยอมของท่าน
การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1) จัดหาบริการ หรือส่งมอบบริการของโรงพยาบาล
2) นัดหมายแพทย์ ส่งข่าวสาร แนะนำบริการของโรงพยาบาล
3) การประสานงานและส่งต่อข้อมูลซึ่งจะช่วยให้การส่งต่อผู้ป่วยมีความรวดเร็วขึ้น
4) การยืนยันตัวตนของผู้ป่วย
5) ส่งข้อความแจ้งเตือนการนัดหมายแพทย์ หรือการเสนอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาล
6) อำนวยความสะดวกและนำเสนอรายการสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ท่าน
7) จุดประสงค์ด้านการตลาด การส่งเสริมการขาย และการลูกค้าสัมพันธ์ เช่น การส่งข้อมูลเกี่ยวกับ โปรโมชั่น ผลิตภัณฑ์และบริการ รายการส่งเสริมการขาย และธุรกิจพันธมิตร
8) เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร ตอบค าถาม หรือตอบสนองข้อร้องเรียน
9) สำรวจความพึงพอใจของลูกค้า วิจัยตลาด วิเคราะห์ทางสถิติประมวลผลและแสดงผลเพื่อเป็น ข้อมูลในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ หรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ ให้แก่ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น
10) วัตถุประสงค์ทางบัญชีหรือทางการเงิน เช่นการตรวจสอบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต การเรียกเก็บเงินและการตรวจสอบความถูกต้อง การขอคืนเงิน
11) รักษาความปลอดภัย รวมถึงความปลอดภัยขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล
12) เพื่อวัตถุประสงค์ในการสมัครงาน การเป็นพนักงาน หรือวัตถุประสงค์อื่นใดที่เกี่ยวข้อง
13) ปฏิบัติตามกฎของโรงพยาบาล
14) ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกำหนด ระเบียบ ข้อบังคับ หรือการร้องขอใดๆจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น การปฏิบัติตามหมายเรียกพยาน หรือคำสั่งศาล หรือการร้องขออื่นๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
15) วัตถุประสงค์อื่นๆ ที่สนับสนุนการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ข้างต้น หรือที่ได้รับความยินยอมจาก ท่านเป็นครั้งคราว
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลอาจเปิดเผยหรือถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังบุคคลที่สาม ซึ่งอาจตั้งอยู่ภายในหรือ นอกราชอาณาจักร โดยโรงพยาบาลจะดำเนินตามมาตรการที่จำเป็นและเหมาะสม หรือเป็นไปตามข้อบังคับและ กฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ที่ตามระบุไว้ข้างต้น ให้แก่
1) พันธมิตรทางธุรกิจ เช่น บริษัทประกัน พันธมิตรที่เข้าร่วมรายการโปรแกรมสะสมคะแนน และสิทธิ ประโยชน์และศูนย์การแพทย์ และหรือบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการให้บริการ
2) ธนาคาร และผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิต หรือเดบิต
3) เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงและความปลอดภัย
4) หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานศุลกากร
5) หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และหน่วยงานอื่นๆ ตามที่กฎหมายอนุญาต หรือกำหนดไว้
การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบนมือถือของโรงพยาบาล อาจมีลิงก์เชื่อมไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม หากท่านไปตาม ลิงก์เหล่านี้ นโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ไม่มีผลกับเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม โปรดทราบว่าโรงพยาบาลไม่ สามารถรับผิดชอบใดๆ ต่อการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยบุคคลที่สามดังกล่าว เนื่องจากอยู่นอกการ ควบคุมของโรงพยาบาล
การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล และความปลอดภัย
1. ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูก เก็บรักษาไว้นานเท่าที่จำเป็น เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ตามที่อธิบาย ไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ หรือภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย หรือเพื่อการดำเนินการทาง กฎหมาย
2. โรงพยาบาลจะใช้มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการบริหารจัดการที่เหมาะสมเพื่อ ป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
1. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม (right to withdraw consent) : ท่านมีสิทธิในการเพิกถอนความ ยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมกับโรงพยาบาลได้ ตลอดระยะเวลาที่ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับโรงพยาบาล
2. สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (right of access) : ท่านมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและ ขอให้โรงพยาบาลทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้โรงพยาบาลเปิดเผยการได้มาซึ่ง ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมต่อโรงพยาบาลได้
3. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง (right to rectification) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาล แก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือเพิ่มเติมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์
4. สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล (right to erasure) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาลท าการลบข้อมูล ของท่านด้วยเหตุบางประการได้
5. สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล (right to restriction of processing) : ท่านมีสิทธิในการระงับการ ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
6. สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล (right to data portability) : ท่านมีสิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วน บุคคลของท่านที่ท่านให้ไว้กับโรงพยาบาลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลรายอื่น หรือตัวท่านเองด้วยเหตุบางประการได้
7. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (right to object) : ท่านมีสิทธิในการคัดค้านการ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
ท่านสามารถร้องขอการเข้าถึงหรือขอให้อัพเดตและแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน รวมถึงสิทธิอื่นใดข้างต้น หรือสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ใช้บังคับ เช่น ขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือขอให้ระงับการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน กรณีเห็นว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกนำไปใช้เกิน ขอบเขตวัตถุประสงค์การใช้งานที่แจ้งให้ทราบข้างต้น หรือไม่ได้รับความยินยอมจากท่าน
การเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะทำการพิจารณาทบทวนนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติ กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโรงพยาบาลจะแจ้ง ให้ท่านทราบด้วยการ อัพเดตข้อมูลลงในเว็บไซต์ของโรงพยาบาล https://www.ram-hosp.co.th/contactus โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้หากท่านมีคำถาม ข้อเสนอแนะ และข้อร้องเรียนเกี่ยวกับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโปรดติดต่อได้ที่อีเมลล์ support@ram-hosp.co.th
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 01 มิถุนายน 2565
(นพ.พิชญ สมบูรณสิน)
กรรมการบริหาร
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว หรือรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากอก อาการเหล่านี้อาจทำให้คุณตกใจและกังวลว่าจะเป็นโรคหัวใจ แต่รู้หรือไม่ว่าอาการเหล่านี้ อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่โรคหัวใจได้ เช่น โรคแพนิค วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างอาการใจสั่นที่เกิดจากโรคแพนิคและภาวะหัวใจเต้นที่ผิดจังหวะ เพื่อให้คุณเข้าใจถึงสาเหตุของอาการ และสามารถดูแลสุขภาพได้อย่างถูกต้อง อย่าปล่อยให้ความกังวลเรื่องสุขภาพใจรบกวนคุณ
อาการของโรคแพนิค โรคนี้เป็นความผิดปกติที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกอย่างรุนแรง โดยอาการนี้จะเกิดขึ้นกะทันหันและสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งมีความรุนแรงกว่าความเครียดทั่วไป โดยอาการแพนิคมักจะกินเวลา 10-20 นาที แต่บางรายอาจมีอาการนานเป็นชั่วโมง อาการที่พบในผู้ป่วยโรคแพนิค ได้แก่
วิธีรักษาโรคแพนิค สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยวิธีการหลายอย่าง โดยการรักษาจะเน้นไปที่การควบคุมอาการและป้องกันไม่ให้อาการกำเริบกลับมาอีก ซึ่งประกอบด้วย
ภาวะหัวใจเต้นที่ผิดจังหวะมี 2 ลักษณะ คือ
ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการทั้งสองอย่างพร้อมกัน เช่น หัวใจเต้นเร็วสลับกับเต้นช้า หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ
โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจมีอาการที่หลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการจนถึงอาการรุนแรง สัญญาณเตือนที่ควรระวังมี ดังนี้
การมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัยและป้องกันความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
ภาวะใจเต้นผิดจังหวะ คือภาวะที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะตามปกติ อาจเต้นเร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักคือ
หัวใจเต้นเร็วเกินไป แบ่งออกเป็นหลายชนิด เช่น
การวินิจฉัยภาวะใจเต้นผิดจังหวะทำได้ยาก เนื่องจากอาการหลากหลายและเกิดขึ้นในระยะเวลาต่างกัน บางชนิดเกิดเพียงเสี้ยววินาทีหรือเป็นหลายชั่วโมง การวินิจฉัยที่ถูกต้องจำเป็นต้องจับคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ในขณะที่มีอาการเท่านั้น
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เป็นการตรวจเบื้องต้นที่ใช้ในการวินิจฉัยภาวะใจเต้นผิดจังหวะ โดยการบันทึกสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจและแสดงผลในรูปกราฟ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการขณะอยู่ในโรงพยาบาล
Holter monitoring เครื่องบันทึกการเต้นของหัวใจต่อเนื่อง 24-48 ชั่วโมง ที่ผู้ป่วยต้องพกติดตัว เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการทุกวันหรือเกือบทุกวัน เครื่องนี้สามารถตรวจจับความผิดปกติแม้ในขณะที่ผู้ป่วยไม่มีอาการ
Multiday Patch Holter อุปกรณ์ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแผ่นปิดบริเวณหัวใจ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเป็นครั้งคราว โดยเครื่องจะบันทึกการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่องหลายวัน ทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ง่ายขึ้น
Event recorder/Loop recorder เครื่องบันทึกชนิดพกพา เหมาะกับผู้ที่มีอาการไม่บ่อย เช่น เดือนละ 1-2 ครั้ง เมื่อมีอาการ ผู้ป่วยสามารถใช้เครื่องนี้บันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้ทันที
เครื่องบันทึกชนิดฝังใต้ผิวหนัง (ILR) เครื่องบันทึกที่แพทย์ฝังไว้ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอกด้านซ้าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการนาน ๆ ครั้ง แต่อาการรุนแรง เช่น หมดสติที่ไม่ทราบสาเหตุ เครื่องจะบันทึกการเต้นของหัวใจเฉพาะเมื่อเกิดอาการ
การตรวจระบบไฟฟ้าหัวใจด้วยสายสวน (EP study) เป็นการตรวจโดยการสอดสายสวนผ่านหลอดเลือดดำเข้าสู่หัวใจ เพื่อตรวจสอบการทำงานของระบบไฟฟ้าหัวใจและกระตุ้นให้เกิดหัวใจใจเต้นผิดจังหวะ วิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติด้วยวิธีอื่น ๆ
ภาวะใจเต้นผิดจังหวะมีหลายชนิดและสาเหตุ ทำให้การรักษาแตกต่างกันไป เริ่มจากการแก้ไขสาเหตุที่สามารถปรับได้ เช่น หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่กระตุ้นหัวใจ และรักษาโรคที่เป็นตัวกระตุ้น หากยังมีอาการ การรักษาจะมุ่งแก้ไขการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะโดยตรง
การรักษาภาวะใจเต้นผิดจังหวะมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ การรักษาหลัก ๆ ได้แก่
เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) ใช้สำหรับผู้ป่วยที่หัวใจเต้นช้ากว่าปกติหรือมีภาวะหัวใจหยุดเต้นชั่วคราว แพทย์จะฝังเครื่องนี้ใต้ผิวหนังบริเวณใต้กระดูกไหปลาร้า เมื่อหัวใจเต้นช้าลง เครื่องจะส่งพลังงานไฟฟ้าเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นหัวใจให้เต้นในจังหวะปกติ
เครื่องกระตุกหัวใจ (AICD) ใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะใจเต้นผิดจังหวะรุนแรงที่อาจทำให้หัวใจหยุดเต้น เครื่องนี้จะถูกฝังไว้ใต้ผิวหนังเช่นเดียวกับ Pacemaker แต่เมื่อพบว่าใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง เครื่องจะส่งพลังงานไฟฟ้าสูงเพื่อกระตุ้นให้หัวใจกลับมาเต้นปกติในเวลาไม่กี่วินาที
การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุ (RFCA) วิธีนี้ใช้สายสวนหัวใจผ่านหลอดเลือดดำหรือแดงเพื่อหาจุดที่ใจเต้นผิดจังหวะและจี้ทำลายด้วยคลื่นวิทยุที่ถูกเปลี่ยนเป็นความร้อน วิธีนี้สามารถรักษาภาวะใจเต้นผิดจังหวะให้หายขาดได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่ต้องการทานยาตลอดชีวิต
การจี้หัวใจด้วยความเย็น (Cryoablation) เป็นวิธีที่ใช้พลังงานความเย็นในการจี้ทำลายวงจรหัวใจที่ผิดปกติ แทนการใช้ความร้อน วิธีนี้มีประสิทธิภาพเทียบเท่าการจี้ด้วยความร้อน แต่มีข้อดีคือใช้เวลาน้อยกว่าและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อรอบข้าง รวมถึงลดอาการเจ็บปวดระหว่างการรักษา
อาการใจสั่น เป็นอาการที่พบได้บ่อยและอาจเกิดจากหลายสาเหตุ โดย 2 สาเหตุหลักที่พบบ่อย คือ โรคแพนิค และโรคหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ
สุดท้ายแล้วการแยกแยะระหว่างอาการใจสั่นที่เกิดจากโรคแพนิคและโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจทำได้ยากสำหรับผู้ป่วยเอง การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง
โรงพยาบาลรามคำแหง
436 ถ. รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
1512, 02-743-9999
แฟกซ์ 0 2374 0804
support@ram-hosp.co.th