เช็กให้ดี ไม่มีพลาด แพนิค VS หัวใจเต้นผิดจังหวะ ต่างกันยังไง

September 18 / 2024

 

โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

 

 

ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว หรือรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากอก อาการเหล่านี้อาจทำให้คุณตกใจและกังวลว่าจะเป็นโรคหัวใจ แต่รู้หรือไม่ว่าอาการเหล่านี้ อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่โรคหัวใจได้ เช่น โรคแพนิค วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างอาการใจสั่นที่เกิดจากโรคแพนิคและภาวะหัวใจเต้นที่ผิดจังหวะ เพื่อให้คุณเข้าใจถึงสาเหตุของอาการ และสามารถดูแลสุขภาพได้อย่างถูกต้อง อย่าปล่อยให้ความกังวลเรื่องสุขภาพใจรบกวนคุณ

 

อาการของโรคแพนิค

อาการของโรคแพนิค โรคนี้เป็นความผิดปกติที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกอย่างรุนแรง โดยอาการนี้จะเกิดขึ้นกะทันหันและสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งมีความรุนแรงกว่าความเครียดทั่วไป โดยอาการแพนิคมักจะกินเวลา 10-20 นาที แต่บางรายอาจมีอาการนานเป็นชั่วโมง อาการที่พบในผู้ป่วยโรคแพนิค ได้แก่

 

  • หัวใจเต้นเร็ว หายใจไม่ออก รู้สึกขาดอากาศ
  • หวาดกลัวอย่างรุนแรงจนร่างกายขยับไม่ได้
  • เวียนศีรษะหรือรู้สึกคลื่นไส้
  • เหงื่อออก มือเท้าสั่น
  • รู้สึกหอบและเจ็บหน้าอก
  • วิตกกังวลหรือกลัวว่าจะตาย รวมถึงรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตได้
  • หวาดกลัวและพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เคยทำให้กลัว

 

วิธีรักษาโรคแพนิค

วิธีรักษาโรคแพนิค สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยวิธีการหลายอย่าง โดยการรักษาจะเน้นไปที่การควบคุมอาการและป้องกันไม่ให้อาการกำเริบกลับมาอีก ซึ่งประกอบด้วย

การรักษาทางกาย

  • การใช้ยา : แพทย์จะจ่ายยาเพื่อปรับสมดุลสารเคมีในสมองที่ผิดปกติ
  • การตรวจเลือด : เพื่อหาสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการแพนิค

การรักษาทางจิต

  • การทำจิตบำบัด : ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจและจัดการกับความคิดและความรู้สึกที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม : เรียนรู้วิธีการผ่อนคลายและจัดการกับสถานการณ์ที่กระตุ้นให้อาการกำเริบ
  • การฝึกการหายใจ : ช่วยควบคุมสติและลดความวิตกกังวล

การดูแลจากคนรอบข้าง

  • ความเข้าใจ : คนรอบข้างควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคแพนิค เพื่อให้เข้าใจและให้กำลังใจผู้ป่วย สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและปลอดภัย

 

หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาการ

 

 

ภาวะหัวใจเต้นที่ผิดจังหวะเป็นอย่างไร

 

ภาวะหัวใจเต้นที่ผิดจังหวะมี 2 ลักษณะ คือ

 

  • อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ เช่น เต้นช้าเกินไปหรือเร็วเกินไป : ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจและจัดการกับความคิดและความรู้สึกที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล
  • จังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ เช่น เต้น ๆ หยุด ๆ : ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจและจัดการกับความคิดและความรู้สึกที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล

 

ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการทั้งสองอย่างพร้อมกัน เช่น หัวใจเต้นเร็วสลับกับเต้นช้า หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ

อาการของโรคหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ

โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจมีอาการที่หลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการจนถึงอาการรุนแรง สัญญาณเตือนที่ควรระวังมี ดังนี้

 

  • หัวใจเต้นพลิ้วหรือไม่สม่ำเสมอ
  • หัวใจเต้นเร็วหรือช้าเกินไป
  • เจ็บหน้าอก
  • หายใจไม่ทัน
  • เป็นลม หรือวูบหมดสติ
  • ใจสั่น รู้สึกคล้ายจะหน้ามืด หรือเวียนศีรษะ

 

การมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัยและป้องกันความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน

หัวใจที่เต้นผิดจังหวะมีกี่ชนิด

ภาวะใจเต้นผิดจังหวะ คือภาวะที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะตามปกติ อาจเต้นเร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักคือ

 

  • หัวใจเต้นช้าเกินไป : หัวใจเต้นน้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาที
  • หัวใจเต้นเร็วเกินไป : หัวใจเต้นมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที

 

หัวใจเต้นเร็วเกินไป แบ่งออกเป็นหลายชนิด เช่น

 

  • หัวใจเต้นเร็วชนิดไม่รุนแรง : เช่น หัวใจห้องบนเต้นเร็ว (SVT), หัวใจห้องล่างเต้นเร็ว (VT)
  • หัวใจเต้นเร็วชนิดรุนแรง : เช่น ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นพลิ้ว (VF) ทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษา
  • หัวใจเต้นที่ผิดจังหวะหรือเต้นสะดุด : ทำให้ใจสั่น วูบ หรือรู้สึกหวิว ๆ
  • หัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว (AF) : เป็นภาวะหัวใจเต้นที่ผิดจังหวะที่พบบ่อยที่สุด ทำให้ใจสั่นและอาจเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้

 

หลักการวินิจฉัยโรคโรคหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ

การวินิจฉัยภาวะใจเต้นผิดจังหวะทำได้ยาก เนื่องจากอาการหลากหลายและเกิดขึ้นในระยะเวลาต่างกัน บางชนิดเกิดเพียงเสี้ยววินาทีหรือเป็นหลายชั่วโมง การวินิจฉัยที่ถูกต้องจำเป็นต้องจับคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ในขณะที่มีอาการเท่านั้น

คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)

คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เป็นการตรวจเบื้องต้นที่ใช้ในการวินิจฉัยภาวะใจเต้นผิดจังหวะ โดยการบันทึกสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจและแสดงผลในรูปกราฟ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการขณะอยู่ในโรงพยาบาล

Holter monitoring

Holter monitoring เครื่องบันทึกการเต้นของหัวใจต่อเนื่อง 24-48 ชั่วโมง ที่ผู้ป่วยต้องพกติดตัว เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการทุกวันหรือเกือบทุกวัน เครื่องนี้สามารถตรวจจับความผิดปกติแม้ในขณะที่ผู้ป่วยไม่มีอาการ

Multiday Patch Holter

Multiday Patch Holter อุปกรณ์ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแผ่นปิดบริเวณหัวใจ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเป็นครั้งคราว โดยเครื่องจะบันทึกการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่องหลายวัน ทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ง่ายขึ้น

Event recorder/Loop recorder

Event recorder/Loop recorder เครื่องบันทึกชนิดพกพา เหมาะกับผู้ที่มีอาการไม่บ่อย เช่น เดือนละ 1-2 ครั้ง เมื่อมีอาการ ผู้ป่วยสามารถใช้เครื่องนี้บันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้ทันที

เครื่องบันทึกชนิดฝังใต้ผิวหนัง (ILR)

เครื่องบันทึกชนิดฝังใต้ผิวหนัง (ILR) เครื่องบันทึกที่แพทย์ฝังไว้ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอกด้านซ้าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการนาน ๆ ครั้ง แต่อาการรุนแรง เช่น หมดสติที่ไม่ทราบสาเหตุ เครื่องจะบันทึกการเต้นของหัวใจเฉพาะเมื่อเกิดอาการ

การตรวจระบบไฟฟ้าหัวใจด้วยสายสวน (EP study)

การตรวจระบบไฟฟ้าหัวใจด้วยสายสวน (EP study) เป็นการตรวจโดยการสอดสายสวนผ่านหลอดเลือดดำเข้าสู่หัวใจ เพื่อตรวจสอบการทำงานของระบบไฟฟ้าหัวใจและกระตุ้นให้เกิดหัวใจใจเต้นผิดจังหวะ วิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติด้วยวิธีอื่น ๆ

 

วิธีรักษาโรคหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ

ภาวะใจเต้นผิดจังหวะมีหลายชนิดและสาเหตุ ทำให้การรักษาแตกต่างกันไป เริ่มจากการแก้ไขสาเหตุที่สามารถปรับได้ เช่น หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่กระตุ้นหัวใจ และรักษาโรคที่เป็นตัวกระตุ้น หากยังมีอาการ การรักษาจะมุ่งแก้ไขการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะโดยตรง

การรักษาภาวะใจเต้นผิดจังหวะมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ การรักษาหลัก ๆ ได้แก่

เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)

เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) ใช้สำหรับผู้ป่วยที่หัวใจเต้นช้ากว่าปกติหรือมีภาวะหัวใจหยุดเต้นชั่วคราว แพทย์จะฝังเครื่องนี้ใต้ผิวหนังบริเวณใต้กระดูกไหปลาร้า เมื่อหัวใจเต้นช้าลง เครื่องจะส่งพลังงานไฟฟ้าเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นหัวใจให้เต้นในจังหวะปกติ

เครื่องกระตุกหัวใจ (AICD)

เครื่องกระตุกหัวใจ (AICD) ใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะใจเต้นผิดจังหวะรุนแรงที่อาจทำให้หัวใจหยุดเต้น เครื่องนี้จะถูกฝังไว้ใต้ผิวหนังเช่นเดียวกับ Pacemaker แต่เมื่อพบว่าใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง เครื่องจะส่งพลังงานไฟฟ้าสูงเพื่อกระตุ้นให้หัวใจกลับมาเต้นปกติในเวลาไม่กี่วินาที

การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุ (RFCA)

การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุ (RFCA) วิธีนี้ใช้สายสวนหัวใจผ่านหลอดเลือดดำหรือแดงเพื่อหาจุดที่ใจเต้นผิดจังหวะและจี้ทำลายด้วยคลื่นวิทยุที่ถูกเปลี่ยนเป็นความร้อน วิธีนี้สามารถรักษาภาวะใจเต้นผิดจังหวะให้หายขาดได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่ต้องการทานยาตลอดชีวิต

การจี้หัวใจด้วยความเย็น (Cryoablation)

การจี้หัวใจด้วยความเย็น (Cryoablation) เป็นวิธีที่ใช้พลังงานความเย็นในการจี้ทำลายวงจรหัวใจที่ผิดปกติ แทนการใช้ความร้อน วิธีนี้มีประสิทธิภาพเทียบเท่าการจี้ด้วยความร้อน แต่มีข้อดีคือใช้เวลาน้อยกว่าและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อรอบข้าง รวมถึงลดอาการเจ็บปวดระหว่างการรักษา

 

เช็กโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

 

 

เช็กโรคแพนิคกับโรคหัวใจที่เต้นผิดจังหวะเบื้องต้นด้วยตัวเอง

อาการใจสั่น เป็นอาการที่พบได้บ่อยและอาจเกิดจากหลายสาเหตุ โดย 2 สาเหตุหลักที่พบบ่อย คือ โรคแพนิค และโรคหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ

วิธีสังเกตเบื้องต้นเพื่อแยกแยะทั้งสองโรค

  • โรคแพนิค : มักเกิดจากความกลัวหรือความวิตกกังวล โดยจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น หายใจไม่อิ่ม มือสั่น เหงื่อออกมาก และมักมีชีพจรเต้นเร็วและสม่ำเสมอ
  • โรคหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ : เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของหัวใจ อาจมีอาการใจสั่น ใจเต้นเร็ว ช้า หรือไม่สม่ำเสมอ และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เวียนหัว หน้ามืด หรือเจ็บหน้าอก

การวินิจฉัยแยกโรคที่ถูกต้อง

  • จำเป็นต้องได้คลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะมีอาการเท่านั้น เพื่อช่วยแยกอาการใจสั่นว่าเป็นแพนิคหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจด้วยเครื่องมือชนิดใดขึ้นอยู่กับลักษณะของอาการตามที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น

ข้อควรจำ

  • การสังเกตอาการเบื้องต้น สามารถช่วยให้เราเข้าใจสาเหตุของอาการใจสั่นได้ในเบื้องต้น
  • การวินิจฉัยที่ถูกต้อง ต้องอาศัยการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • อย่าเพิ่งตื่นตระหนก หากมีอาการใจสั่น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

สุดท้ายแล้วการแยกแยะระหว่างอาการใจสั่นที่เกิดจากโรคแพนิคและโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจทำได้ยากสำหรับผู้ป่วยเอง การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง