“จี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยบอลลูนเย็น” รักษา “โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ"

August 19 / 2024

 

“จี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยบอลลูนเย็น” (Cryoablation) รักษา “โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ"

 

 

เคยรู้สึกใจสั่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะหรือไม่? อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคหัวใจที่พบได้บ่อย ปัจจุบันมีวิธีการรักษาที่ทันสมัยและปลอดภัยมากขึ้น นั่นคือ “การจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยบอลลูนเย็น หรือ Cryoablation”

 

การจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยบอลลูนเย็น เป็นเทคนิคการรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะที่ทันสมัย โดยเฉพาะภาวะหัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว (AF : Atrial Fibrillation ภาวะที่หัวใจห้องบนเต้นเร็วและไม่สม่ำเสมอ) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง เป็นการรักษาที่ใช้พลังงานความเย็น -40 ถึง -60 องศา ในการทำลายเนื้อเยื่อหัวใจส่วนที่ทำให้เกิดการส่งสัญญาณไฟฟ้าผิดปกติ โดยแพทย์จะสอดสายสวนพิเศษเข้าไปในหัวใจ เพื่อนำความเย็นไปทำลายเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจส่วนที่ทำให้เกิดการเต้นผิดจังหวะ ทำให้หัวใจกลับมาเต้นเป็นจังหวะได้ตามปกติ

 

 

การตรวจวินิจฉัยหัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว

การวินิจฉัย AF จำเป็นต้องได้คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ขณะที่เกิด AF เพื่อยืนยันการวินิจฉัย ในรายที่เป็นนาน ๆ แบบต่อเนื่องการตรวจวินิจฉัยก็ไม่ยาก EKG มาตรฐานแผ่นเดียวก็ให้การวินิจฉัยได้ แต่ในรายที่ AF เป็นช่วงสั้น ๆ เป็นวินาทีหรือเป็นนาที การตรวจจะยากขึ้นจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยจับผู้ร้ายชนิดต่าง ๆ เช่น เครื่องบันทึกการเต้นของหัวใจแบบต่อเนื่อง (Holter monitoring) ซึ่งจะบันทึกได้นาน 1-2 วัน ถ้าใช้แบบ Patch Holter ลักษณะเหมือนแผ่นพลาสเตอร์ปิดแผล ไม่มีสายไฟฟ้ารุงรัง ก็จะสะดวกขึ้น อาบน้ำได้ เล่นกีฬาได้ และสามารถบันทึกได้นานสูงสุด 14 วัน หรืออาจใช้เครื่องบันทึกเฉพาะเหตุการณ์ (event recorder) ก็ได้ อาจเช่าเครื่องของโรงพยาบาลหรือหาซื้อไว้ตรวจเองก็ได้ ในปัจจุบัน smartwatch ก็สามารถตรวจ EKG ขณะมีอาการได้เช่นกัน

 

นอกจากนี้แพทย์อ่านตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) ทดสอบหัวใจขาดเลือดด้วยการเดินสายพาน (exercise stress test) ตรวจเลือดเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุและโรคร่วมต่าง ๆ

 

EKG หัวใจ

 

 

สาเหตุของหัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว

สาเหตุของ AF มีหลากหลาย แต่พอจะแบ่งได้เป็น 4 อย่างใหญ่ ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการตรวจรักษา คือ

1. สารกระตุ้นหัวใจต่าง ๆ เช่น คาเฟอีน บุหรี่ แอลกอฮอล์ โสมและอาหารเสริมต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม แต่ละคนจะมีความไวต่อสารกระตุ้นต่าง ๆ เหล่านี้ไม่เท่ากัน ดังนั้นสารกระตุ้นหัวใจเหล่านี้จะทำให้เกิด AF หรือไม่ขึ้นกับปริมาณและระยะที่ได้รับเหตุปัจจัยร่วม และการตอบสนองของร่างกายของแต่ละคน

2. ความไม่สบายหรือเจ็บป่วยต่าง ๆ ก็สามารถกระตุ้นให้เกิด AF ได้เช่นกัน เช่น โรคต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป โรคกระเพาะ ปอดอักเสบ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน อ้วน เครียด พักผ่อนไม่พอ นอนกรน หยุดหายใจขณะหลับ

3. โรคหัวใจชนิดต่าง ๆ ก็สามารถทำให้เกิด AF ได้เช่นกัน เช่น โรคลิ้นหัวใจไมตรัล โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนา หัวใจล้มเหลว หลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

4. โรคระบบไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ ซึ่งเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุนำใด ๆ อาจเป็นตั้งแต่กำเนิด (พันธุกรรม) หรือมาเกิดขึ้นภายหลังก็ได้ (ความเสื่อม) ผู้ป่วยสูงอายุมีโอกาสเป็น AF มากกว่าคนอายุน้อยเนื่องจากความเสื่อมของระบบไฟฟ้าหัวใจ

 

จากที่กล่าวข้างต้นจะเห็นว่าสาเหตุของ AF มีมากมาย บางชนิดก็เป็นสาเหตุหลักหรือเป็นแค่ปัจจัยเสริมก็ได้แตกต่างกันไปในแต่ละคน จึงต้องวิเคราะห์ดูลงไปในรายละเอียด

 

 

อาการของหัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว

อาการของ AF จะเป็นผลจากการที่หัวใจเต้นเร็วและไม่สม่ำเสมอ เช่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก หัวใจล้มเหลว น้ำท่วมปอด หน้ามืดจะเป็นลม อย่างไรก็ตามคนไข้ AF จำนวนหนึ่งจะไม่มีอาการใด ๆ แต่ตรวจพบจากการตรวจร่างกายหรือมารับการรักษาด้วยโรคอื่น ๆ คนไข้ที่ไม่มีอาการก็อาจจะมาด้วยโรคแทรกซ้อนของ AF แทน เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลวและหลอดเลือดสมองอุดตันจากลิ่มเลือดที่หัวใจ

 

คนเจ็บหน้าอก เจ็บหัวใจ

 

 

แนวทางการรักษาหัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว

มีแนวทางสำคัญสามข้อซึ่งจะต้องทำร่วมกันกันไปเสมอคือ

1. ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดหัวใจไปอุดตันหลอดเลือดสมอง (stroke) และให้ยาป้องกัน ผู้ป่วย AF แต่ละคนมีความเสี่ยงไม่เท่ากัน ผู้มีความเสี่ยงต่ำจะยังไม่ต้องทานยาใด ๆ ก็ได้ ผู้ป่วยความเสี่ยงสูงและปานกลางจะต้องทานยาต้านเลือดแข็งตัว (oral anticoagulation) ข้อนี้ต้องทำการประเมินก่อนเสมอ

2. ลด เลิก แก้ไขปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่นลด เลิกการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ บุหรี่ แก้ไขรักษาโรคต่าง ๆ เช่นโรคไทรอยด์เป็นพิษ คุมเบาหวาน คุมความดันโลหิตให้ดี ลดน้ำหนัก ลดความเครียด ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ข้อดีต้องทำให้ดี หลายคนหายจาก AF หรือดีขึ้นได้ด้วยการการแก้ไขปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เหล่านี้

3. รักษาอาการ ชะลอการดำเนินโรค หรือรักษาให้หายขาด

3.1 เริ่มต้นด้วยการใช้ยาเพื่อหยุดการเป็น AF ป้องกันการเป็นซ้ำ และชะลอการเต้นของหัวใจไม่ให้เต้นเร็วเกินไป

3.2 การกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้า (direct current cardioversion) เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติ มักใช้ในกรณีฉุกเฉินเพื่อหยุด AF โดยเร็วหรือใช้ ในกรณีที่ AF เป็นต่อเนื่องไม่หยุดทั้ง ๆ ที่ใช้ยาเต็มที่แล้ว

3.3 ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) มักใช้ในผู้ป่วยสูงอายุที่มีหัวใจเต้นช้าร่วมกับ AF การกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วขึ้นสามารถลดการเกิด AF ลงได้บ้างและยังป้องกันหัวใจเต้นช้า จากการใช้ยารักษา AF

3.4 การจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยสายสวนหัวใจ (catheter ablation)

3.5 การผ่าตัดหัวใจ (surgical ablation) มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมี AF ร่วมกับโรคหัวใจที่ต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดหัวใจ เช่น โรคลิ้นหัวใจไมตรัลตีบ ศัลยแพทย์จะผ่าตัดแก้ไขโรคหัวใจและแก้ไข AF ไปพร้อมกัน

 

 

ทำไม?.. ต้องเลือกจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยบอลลูนเย็น

  • รักษาได้ผลดี การจี้แบบเย็นจัดมีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหลายชนิด
  • ปลอดภัย มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
  • สะดวก รวดเร็ว ใช้เวลาในการรักษาสั้นลง ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น

 

บอลลูนเย็น

 

 

ใครบ้าง?.. ที่เหมาะกับการรักษาด้วยวิธีจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยบอลลูนเย็น

ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น AF และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา หรือผู้ป่วยที่ต้องการรักษาที่ให้ผลดีในระยะยาว แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและพิจารณาว่าผู้ป่วยรายใดเหมาะสมกับการรักษาด้วยวิธีนี้

“การจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยบอลลูนเย็น” เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเพราะมีข้อดีหลายอย่าง ทั้งความแม่นยำ ปลอดภัย ใช้เวลาไม่นานและไม่เจ็บ ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็ว หากคุณมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

 

 

ข้อดีของการทำ Cryoablation

  • ใช้เวลาในการรักษาสั้นลง จากเดิมที่การรักษาใช้เวลาหลายชั่วโมง การจี้ด้วยบอลลูนเย็นสามารถลดระยะเวลาการรักษาลงได้มาก โดยอาจใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น
  • ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อรอบข้าง ความเย็นจะทำลายเนื้อเยื่อเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง
  • ลดอาการเจ็บปวดและภาวะแทรกซ้อน การใช้ความเย็นจะไม่ทำให้เกิดการอักเสบหรือระคายเคืองเนื้อเยื่อ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวมากขึ้นหลังการรักษา


 

ข้อจำกัดของ Cryoablation

1. ใช้จี้เฉพาะความผิดปกติที่อยู่รอบบริเวณหลอดเลือดดำที่นำเลือดแดงจากปอดเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้ายเท่านั้น (PV isolation) ดังนั้นถ้ามีความผิดปกตินอกเหนือจากบริเวณนี้ ยังไม่สามารถใช้ได้ในขณะนี้

2. เป็นการทำโดยใช้แสงเอกซเรย์ จึงได้รับรังสีเอกซเรย์มากกว่าการจี้ด้วยคลื่นวิทยุที่มีระบบภาพ 3 มิติมาช่วยลดการใช้แสงเอกซเรย์ลง

3. มีโอกาสบาดเจ็บต่อเส้นประสาทควบคุมการทำงานของกระบังลม (phrenicnerve) ได้ประมาณ 2% แต่จะค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติภายใน 3-6 เดือน