เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้
เราใช้ Cookies เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีที่สุด สรุปนโยบายความเป็นส่วนตัวและ Cookies อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Policy)
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
โรงพยาบาลรามคำแหง (“โรงพยาบาล”) ได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ที่ท่านให้โรงพยาบาลใน ระหว่างการร้องขอการบริการ การเยี่ยมชมเว็บไซต์
หรือใช้แอพพลิเคชั่นของหรือจากโรงพยาบาล นโยบาย คุ้มครองข้อมูลส่วน
บุคคลนี้รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวคุณโดยเป็นการส่งต่อมาจากบุคคลที่สาม
ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง “ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือ ทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ”
การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
1. โรงพยาบาลเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของ ท่าน ที่สามารถระบุตัวตนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อประโยชน์ต่อท่านในระยะเวลาที่เหมาะสมจำเป็นต่อการให้บริการ ในกรณีที่ท่านเป็นผู้ให้ข้อมูล กับโรงพยาบาล หรือร้องขอการบริการจากโรงพยาบาลผ่านช่องทางเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่นหรือ ช่องทางอื่นใดของโรงพยาบาล อาทิเช่น การนัดหมายแพทย์ การทำธุรกรรมแบบออนไลน์ การสมัครรับจดหมายข่าว การขอรับความช่วยเหลือพิเศษ รวมไปถึงการทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ เช่น การลงทะเบียนผู้ป่วยที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนของโรงพยาบาล หรือจากความสมัครใจ ของท่านใน การทำแบบสอบถาม (Survey) หรือการโต้ตอบทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) หรือการกรอก ให้ข้อมูลประกอบการสมัครงาน หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ระหว่างโรงพยาบาล และท่าน
2. โรงพยาบาลอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลที่สาม เช่นธุรกิจในเครือข่าย ตัวแทน จำหน่าย หรือผู้ให้บริการของโรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ
ข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวมจากท่านจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของการเก็บรวบรวม และประเภทของการบริการที่ท่านร้องขอจากโรงพยาบาล ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูกนำมาใช้เพื่อให้การทำธุรกรรมออนไลน์หรือออฟไลน์ หรือบริการที่ได้รับการร้องขอเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาล เก็บรวบรวมโดยตรงจากท่าน หรือจากบุคคลที่สาม มีดังนี้
1) ข้อมูลระบุตัวตน เช่น ชื่อ ภาพถ่าย เพศ วัน เดือน ปีเกิด หนังสือเดินทาง หมายเลขบัตรประชาชน หรือหมายเลขที่สามารถระบุตัวตนอื่นๆ
2) ข้อมูลสำหรับการติดต่อ เช่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลล์
3) ข้อมูลการชำระเงิน เช่น ข้อมูลการเรียกเก็บเงิน ข้อมูลบัตรเครดิตหรือเดบิต และ รายละเอียดบัญชี ธนาคาร
4) ข้อมูลการเข้ารับบริการ เช่น ข้อมูลการนัดหมายแพทย์ ข้อมูลส่วนบุคคลของญาติ ความต้องการ เกี่ยวกับห้องพัก อาหาร และบริการเสริมอื่นๆ
5) ข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาด เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อร่วมกิจกรรมกับเรา
6) ข้อมูลสถิติ เช่น จำนวนผู้ป่วย และการเข้าชมเว็บไซต์
7) ข้อมูลจากการเข้าใช้เว็บไซต์ของโรงพยาบาล
8) ข้อมูลด้านสุขภาพ รายงานที่เกี่ยวกับสุขภาพกาย และสุขภาพจิต การดูแลสุขภาพของท่าน ผลการทดสอบจากห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ และการวินิจฉัย
9) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาและการแพ้ยาของท่าน
10) ข้อมูล Feedback และผลการรักษาที่ท่านให้ไว้
เราจะไม่เก็บและใช้ข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนของคุณ เช่น เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา ประวัติอาชญากร เว้นแต่เป็นไปตามที่ข้อบังคับและกฎหมายกำหนด หรือโดยความยินยอมของท่าน
การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1) จัดหาบริการ หรือส่งมอบบริการของโรงพยาบาล
2) นัดหมายแพทย์ ส่งข่าวสาร แนะนำบริการของโรงพยาบาล
3) การประสานงานและส่งต่อข้อมูลซึ่งจะช่วยให้การส่งต่อผู้ป่วยมีความรวดเร็วขึ้น
4) การยืนยันตัวตนของผู้ป่วย
5) ส่งข้อความแจ้งเตือนการนัดหมายแพทย์ หรือการเสนอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาล
6) อำนวยความสะดวกและนำเสนอรายการสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ท่าน
7) จุดประสงค์ด้านการตลาด การส่งเสริมการขาย และการลูกค้าสัมพันธ์ เช่น การส่งข้อมูลเกี่ยวกับ โปรโมชั่น ผลิตภัณฑ์และบริการ รายการส่งเสริมการขาย และธุรกิจพันธมิตร
8) เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร ตอบค าถาม หรือตอบสนองข้อร้องเรียน
9) สำรวจความพึงพอใจของลูกค้า วิจัยตลาด วิเคราะห์ทางสถิติประมวลผลและแสดงผลเพื่อเป็น ข้อมูลในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ หรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ ให้แก่ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น
10) วัตถุประสงค์ทางบัญชีหรือทางการเงิน เช่นการตรวจสอบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต การเรียกเก็บเงินและการตรวจสอบความถูกต้อง การขอคืนเงิน
11) รักษาความปลอดภัย รวมถึงความปลอดภัยขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล
12) เพื่อวัตถุประสงค์ในการสมัครงาน การเป็นพนักงาน หรือวัตถุประสงค์อื่นใดที่เกี่ยวข้อง
13) ปฏิบัติตามกฎของโรงพยาบาล
14) ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกำหนด ระเบียบ ข้อบังคับ หรือการร้องขอใดๆจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น การปฏิบัติตามหมายเรียกพยาน หรือคำสั่งศาล หรือการร้องขออื่นๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
15) วัตถุประสงค์อื่นๆ ที่สนับสนุนการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ข้างต้น หรือที่ได้รับความยินยอมจาก ท่านเป็นครั้งคราว
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลอาจเปิดเผยหรือถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังบุคคลที่สาม ซึ่งอาจตั้งอยู่ภายในหรือ นอกราชอาณาจักร โดยโรงพยาบาลจะดำเนินตามมาตรการที่จำเป็นและเหมาะสม หรือเป็นไปตามข้อบังคับและ กฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ที่ตามระบุไว้ข้างต้น ให้แก่
1) พันธมิตรทางธุรกิจ เช่น บริษัทประกัน พันธมิตรที่เข้าร่วมรายการโปรแกรมสะสมคะแนน และสิทธิ ประโยชน์และศูนย์การแพทย์ และหรือบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการให้บริการ
2) ธนาคาร และผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิต หรือเดบิต
3) เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงและความปลอดภัย
4) หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานศุลกากร
5) หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และหน่วยงานอื่นๆ ตามที่กฎหมายอนุญาต หรือกำหนดไว้
การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบนมือถือของโรงพยาบาล อาจมีลิงก์เชื่อมไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม หากท่านไปตาม ลิงก์เหล่านี้ นโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ไม่มีผลกับเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม โปรดทราบว่าโรงพยาบาลไม่ สามารถรับผิดชอบใดๆ ต่อการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยบุคคลที่สามดังกล่าว เนื่องจากอยู่นอกการ ควบคุมของโรงพยาบาล
การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล และความปลอดภัย
1. ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูก เก็บรักษาไว้นานเท่าที่จำเป็น เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ตามที่อธิบาย ไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ หรือภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย หรือเพื่อการดำเนินการทาง กฎหมาย
2. โรงพยาบาลจะใช้มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการบริหารจัดการที่เหมาะสมเพื่อ ป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
1. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม (right to withdraw consent) : ท่านมีสิทธิในการเพิกถอนความ ยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมกับโรงพยาบาลได้ ตลอดระยะเวลาที่ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับโรงพยาบาล
2. สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (right of access) : ท่านมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและ ขอให้โรงพยาบาลทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้โรงพยาบาลเปิดเผยการได้มาซึ่ง ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมต่อโรงพยาบาลได้
3. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง (right to rectification) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาล แก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือเพิ่มเติมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์
4. สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล (right to erasure) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาลท าการลบข้อมูล ของท่านด้วยเหตุบางประการได้
5. สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล (right to restriction of processing) : ท่านมีสิทธิในการระงับการ ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
6. สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล (right to data portability) : ท่านมีสิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วน บุคคลของท่านที่ท่านให้ไว้กับโรงพยาบาลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลรายอื่น หรือตัวท่านเองด้วยเหตุบางประการได้
7. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (right to object) : ท่านมีสิทธิในการคัดค้านการ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
ท่านสามารถร้องขอการเข้าถึงหรือขอให้อัพเดตและแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน รวมถึงสิทธิอื่นใดข้างต้น หรือสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ใช้บังคับ เช่น ขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือขอให้ระงับการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน กรณีเห็นว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกนำไปใช้เกิน ขอบเขตวัตถุประสงค์การใช้งานที่แจ้งให้ทราบข้างต้น หรือไม่ได้รับความยินยอมจากท่าน
การเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะทำการพิจารณาทบทวนนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติ กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโรงพยาบาลจะแจ้ง ให้ท่านทราบด้วยการ อัพเดตข้อมูลลงในเว็บไซต์ของโรงพยาบาล https://www.ram-hosp.co.th/contactus โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้หากท่านมีคำถาม ข้อเสนอแนะ และข้อร้องเรียนเกี่ยวกับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโปรดติดต่อได้ที่อีเมลล์ support@ram-hosp.co.th
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 01 มิถุนายน 2565
(นพ.พิชญ สมบูรณสิน)
กรรมการบริหาร
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
หลายคนอาจเคยได้ยินว่าอาการป่วยทางใจโดยเฉพาะอาการแพนิคนั้นมีความเกี่ยวข้องกันโดยตรงกับโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าทั้ง 2 โรคมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร เพราะทั้ง 2 โรคก็ทำให้เหนื่อยง่าย ใจสั่น หน้ามืด และอาจถึงขั้นหมดสติ ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงทั้ง 2 โรคจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อจะได้สามารถแยกแยะอาการที่เกี่ยวกับหัวใจได้ โดยเฉพาะหากคนใกล้ตัวเริ่มมีอาการ ก็จะได้แนะนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงทีนั่นเอง
อาการป่วยทางใจ เป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง จะมาให้คำตอบกัน อาการป่วยทางใจ หรือโรคจิตเวช คือ กลุ่มอาการทางจิตใจหรือพฤติกรรมที่ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความบกพร่องในการทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ หรือก่อให้เกิดความรู้สึกทุกข์ทรมาน ในปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบว่าตนเองกำลังเผชิญกับโรคจิตเวชอยู่ ในขณะที่หลาย ๆ คนทราบว่าตนเองกำลังป่วย แต่ไม่มาพบแพทย์ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่มีอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น เราจึงควรหมั่นสังเกตตนเองและคนรอบตัว เพื่อป้องกันปัญหาและวางแผนการรักษาเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตในระยะยาว โดยโรคจิตเวชที่พบบ่อยได้แก่
โรคซึมเศร้า ผู้ป่วยมักรู้สึกท้อแท้ เบื่อหน่าย หดหู่ สะเทือนใจง่าย และรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ไม่มีความสุขกับกิจกรรมที่เคยชอบทำ ในบางรายอาจหลงลืมง่าย นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร และปวดหัว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่ลงและมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง
โรควิตกกังวลสังเกตได้จากผู้ป่วยมักมีความกังวลในเรื่องทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น เรื่องครอบครัว เรื่องงาน หรือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้ผู้ป่วยเกิดความเครียดสะสม และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของร่างกาย เช่น รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ขาดสมาธิ และมีปัญหาในการนอนหลับ เป็นต้น
โรคไบโพลาร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว ซึ่งหมายถึง ความผิดปกติทางอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างความรู้สึกหดหู่ ซึมเศร้า และอารมณ์ร่าเริงเกินปกติ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการซึมเศร้าต่อเนื่องนานหลายเดือน ก่อนเข้าสู่ช่วงที่รู้สึกกระฉับกระเฉง และอารมณ์ดีผิดปกติ อาการเหล่านี้มักเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมองโดยมีสารสื่อประสาทที่ไม่สมดุล โดยมีสาเหตุจากพันธุกรรมที่ผิดปกติ รวมถึงสภาพแวดล้อมของผู้ป่วย เช่น การเลี้ยงดูในวัยเด็ก หรือ ความเครียดในชีวิตประจำวัน
โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ คือ อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้ป่วยประสบกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายมาก เช่น เผชิญกับภาวะเฉียดตาย ถูกทำร้าย หรือเห็นคนใกล้ตัวเสียชีวิต ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเกิดความกลัวว่าจะเกิดซ้ำ จนมีอาการหวาดระแวง ตกใจง่าย กังวลในเรื่องเล็กน้อย และคิดถึงเหตุการณ์นั้นซ้ำ ๆ
โรคแพนิค คือ อาการผิดปกติที่ผู้ป่วยรู้สึกเกิดอาการกลัวและวิตกกังวลขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ อาการที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากระบบประสาทอัตโนมัติไวต่อสิ่งกระตุ้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจติดขัด หัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะ จุกแน่น อึดอัดรู้สึกคล้ายจะเป็นลม หรือคลื่นไส้ ซึ่งแม้อาการของโรคแพนิคจะไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่ผู้ป่วยมักคิดว่าตนเองกำลังหัวใจวาย หรือเป็นโรคที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต
อาการป่วยทางใจ รักษาได้กี่วิธี โดยทั่วไป การรักษาผู้ป่วยจิตเวชสามารถทำได้โดยแบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลัก ดังนี้
จะเป็นการมุ่งเน้นเพื่อให้ยาเป็นตัวปรับสารเคมีในสมองให้เกิดความสมดุลเพื่อให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ
เป็นการเน้นการพูดคุย บอกเล่าถึงปัญหา และพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์กับผู้ป่วย รวมถึงการช่วยให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้กิจกรรมที่มีความหมายต่อชีวิต อาทิ การเรียน งานอาชีพ งานอดิเรก หรือคำแนะนำในการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการดื่มสุราและการใช้สารเสพติด
นอกจากนี้ คนในครอบครัวควรเปิดใจรับฟังถึงปัญหา รวมถึงควรทำความเข้าใจและให้กำลังใจผู้ป่วย โดยที่ไม่มองว่าผู้ป่วยเป็นบุคคลอันตราย ก็จะเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยมีกำลังใจ และหายเป็นปกติได้เร็วขึ้น
วิธีแยกระหว่างป่วยทางใจ กับป่วยด้วยอาการหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ ผู้ป่วยโรคหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ มักมีอัตราการเต้นของหัวใจช้ากว่าปกติ น้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาที หรือเร็วกว่าปกติ มากกว่า 100 ครั้งต่อนาที หรือเต้นไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เช่น เต้น ๆ หยุด ๆ หรือเต้นเร็วสลับช้า ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจยืนยันด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ขณะที่มีอาการจะช่วยบอกว่ามีหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่และเป็นขนิดใด ซึ่งภาวะดังกล่าว อาจมีสาเหตุมาจากพฤติกรรม เช่น สูบบุหรี่ ดื่มชา กาแฟ หรือความเครียด รวมถึงอาการทางจิตเวช โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคแพนิค
ดังนั้น หากพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ผู้ป่วยควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ได้วินิจฉัยถึงสาเหตุที่แท้จริงของความผิดปกติ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้โรคเกิดความรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนในภายหลังอีกด้วย
โรคหัวใจผิดจังหวะ รักษาหายไหม ต้องบอกว่าในปัจจุบัน การรักษาโรคนี้สามารถทำได้หลายรูปแบบ โดยแพทย์จะพิจารณาจากระดับความรุนแรงของโรค ในเบื้องต้น แพทย์อาจให้ผู้ป่วยใช้รับประทานยาเพื่อควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ หรือใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) โดยการฝังอุปกรณ์บนผนังหน้าอกใต้ผิวหนังในรายที่หัวใจเต้นช้า
นอกจากนี้ แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้สายสวนจี้กล้ามเนื้อหัวใจ โดยการปล่อยคลื่นเสียงวิทยุเข้าไปกำจัดเนื้อเยื่อหัวใจที่เป็นสาเหตุทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจทำงานผิดปกติ ซึ่งวิธีการใช้สายสวนนี้นับว่ามีความปลอดภัยและให้ผลการรักษาที่ดี เพิ่มโอกาสการหายขาดให้แก่ผู้ป่วยถึง 95-99% และมีผลข้างเคียงน้อย
ดูแลตัวเองอย่างไรให้ห่างไกลจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ แม้โรคหัวใจจะเป็นโรคเรื้อรังที่มีความรุนแรงและมีอันตรายต่อชีวิต แต่หากเราเริ่มต้นดูแลสุขภาพหัวใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม ก็สามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ โดยอาจเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำต่าง ๆ ดังนี้
นอกจากการเข้าพบแพทย์เมื่อร่างกายเกิดความผิดปกติจะมีความสำคัญในการรักษาโรคต่าง ๆ ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว ผู้ที่แข็งแรงดี ก็ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทราบถึงสุขภาพร่างกายของเรา และหากตรวจพบโรค ก็จะสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที เพิ่มโอกาสในการขาด และยังเป็นการวางแผนสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย
โรงพยาบาลรามคำแหง
436 ถ. รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
1512, 02-743-9999
แฟกซ์ 0 2374 0804
support@ram-hosp.co.th