เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้
เราใช้ Cookies เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีที่สุด สรุปนโยบายความเป็นส่วนตัวและ Cookies อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Policy)
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
โรงพยาบาลรามคำแหง (“โรงพยาบาล”) ได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ที่ท่านให้โรงพยาบาลใน ระหว่างการร้องขอการบริการ การเยี่ยมชมเว็บไซต์
หรือใช้แอพพลิเคชั่นของหรือจากโรงพยาบาล นโยบาย คุ้มครองข้อมูลส่วน
บุคคลนี้รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวคุณโดยเป็นการส่งต่อมาจากบุคคลที่สาม
ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง “ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือ ทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ”
การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
1. โรงพยาบาลเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของ ท่าน ที่สามารถระบุตัวตนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อประโยชน์ต่อท่านในระยะเวลาที่เหมาะสมจำเป็นต่อการให้บริการ ในกรณีที่ท่านเป็นผู้ให้ข้อมูล กับโรงพยาบาล หรือร้องขอการบริการจากโรงพยาบาลผ่านช่องทางเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่นหรือ ช่องทางอื่นใดของโรงพยาบาล อาทิเช่น การนัดหมายแพทย์ การทำธุรกรรมแบบออนไลน์ การสมัครรับจดหมายข่าว การขอรับความช่วยเหลือพิเศษ รวมไปถึงการทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ เช่น การลงทะเบียนผู้ป่วยที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนของโรงพยาบาล หรือจากความสมัครใจ ของท่านใน การทำแบบสอบถาม (Survey) หรือการโต้ตอบทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) หรือการกรอก ให้ข้อมูลประกอบการสมัครงาน หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ระหว่างโรงพยาบาล และท่าน
2. โรงพยาบาลอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลที่สาม เช่นธุรกิจในเครือข่าย ตัวแทน จำหน่าย หรือผู้ให้บริการของโรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ
ข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวมจากท่านจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของการเก็บรวบรวม และประเภทของการบริการที่ท่านร้องขอจากโรงพยาบาล ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูกนำมาใช้เพื่อให้การทำธุรกรรมออนไลน์หรือออฟไลน์ หรือบริการที่ได้รับการร้องขอเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาล เก็บรวบรวมโดยตรงจากท่าน หรือจากบุคคลที่สาม มีดังนี้
1) ข้อมูลระบุตัวตน เช่น ชื่อ ภาพถ่าย เพศ วัน เดือน ปีเกิด หนังสือเดินทาง หมายเลขบัตรประชาชน หรือหมายเลขที่สามารถระบุตัวตนอื่นๆ
2) ข้อมูลสำหรับการติดต่อ เช่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลล์
3) ข้อมูลการชำระเงิน เช่น ข้อมูลการเรียกเก็บเงิน ข้อมูลบัตรเครดิตหรือเดบิต และ รายละเอียดบัญชี ธนาคาร
4) ข้อมูลการเข้ารับบริการ เช่น ข้อมูลการนัดหมายแพทย์ ข้อมูลส่วนบุคคลของญาติ ความต้องการ เกี่ยวกับห้องพัก อาหาร และบริการเสริมอื่นๆ
5) ข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาด เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อร่วมกิจกรรมกับเรา
6) ข้อมูลสถิติ เช่น จำนวนผู้ป่วย และการเข้าชมเว็บไซต์
7) ข้อมูลจากการเข้าใช้เว็บไซต์ของโรงพยาบาล
8) ข้อมูลด้านสุขภาพ รายงานที่เกี่ยวกับสุขภาพกาย และสุขภาพจิต การดูแลสุขภาพของท่าน ผลการทดสอบจากห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ และการวินิจฉัย
9) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาและการแพ้ยาของท่าน
10) ข้อมูล Feedback และผลการรักษาที่ท่านให้ไว้
เราจะไม่เก็บและใช้ข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนของคุณ เช่น เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา ประวัติอาชญากร เว้นแต่เป็นไปตามที่ข้อบังคับและกฎหมายกำหนด หรือโดยความยินยอมของท่าน
การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1) จัดหาบริการ หรือส่งมอบบริการของโรงพยาบาล
2) นัดหมายแพทย์ ส่งข่าวสาร แนะนำบริการของโรงพยาบาล
3) การประสานงานและส่งต่อข้อมูลซึ่งจะช่วยให้การส่งต่อผู้ป่วยมีความรวดเร็วขึ้น
4) การยืนยันตัวตนของผู้ป่วย
5) ส่งข้อความแจ้งเตือนการนัดหมายแพทย์ หรือการเสนอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาล
6) อำนวยความสะดวกและนำเสนอรายการสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ท่าน
7) จุดประสงค์ด้านการตลาด การส่งเสริมการขาย และการลูกค้าสัมพันธ์ เช่น การส่งข้อมูลเกี่ยวกับ โปรโมชั่น ผลิตภัณฑ์และบริการ รายการส่งเสริมการขาย และธุรกิจพันธมิตร
8) เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร ตอบค าถาม หรือตอบสนองข้อร้องเรียน
9) สำรวจความพึงพอใจของลูกค้า วิจัยตลาด วิเคราะห์ทางสถิติประมวลผลและแสดงผลเพื่อเป็น ข้อมูลในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ หรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ ให้แก่ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น
10) วัตถุประสงค์ทางบัญชีหรือทางการเงิน เช่นการตรวจสอบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต การเรียกเก็บเงินและการตรวจสอบความถูกต้อง การขอคืนเงิน
11) รักษาความปลอดภัย รวมถึงความปลอดภัยขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล
12) เพื่อวัตถุประสงค์ในการสมัครงาน การเป็นพนักงาน หรือวัตถุประสงค์อื่นใดที่เกี่ยวข้อง
13) ปฏิบัติตามกฎของโรงพยาบาล
14) ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกำหนด ระเบียบ ข้อบังคับ หรือการร้องขอใดๆจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น การปฏิบัติตามหมายเรียกพยาน หรือคำสั่งศาล หรือการร้องขออื่นๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
15) วัตถุประสงค์อื่นๆ ที่สนับสนุนการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ข้างต้น หรือที่ได้รับความยินยอมจาก ท่านเป็นครั้งคราว
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลอาจเปิดเผยหรือถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังบุคคลที่สาม ซึ่งอาจตั้งอยู่ภายในหรือ นอกราชอาณาจักร โดยโรงพยาบาลจะดำเนินตามมาตรการที่จำเป็นและเหมาะสม หรือเป็นไปตามข้อบังคับและ กฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ที่ตามระบุไว้ข้างต้น ให้แก่
1) พันธมิตรทางธุรกิจ เช่น บริษัทประกัน พันธมิตรที่เข้าร่วมรายการโปรแกรมสะสมคะแนน และสิทธิ ประโยชน์และศูนย์การแพทย์ และหรือบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการให้บริการ
2) ธนาคาร และผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิต หรือเดบิต
3) เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงและความปลอดภัย
4) หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานศุลกากร
5) หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และหน่วยงานอื่นๆ ตามที่กฎหมายอนุญาต หรือกำหนดไว้
การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบนมือถือของโรงพยาบาล อาจมีลิงก์เชื่อมไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม หากท่านไปตาม ลิงก์เหล่านี้ นโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ไม่มีผลกับเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม โปรดทราบว่าโรงพยาบาลไม่ สามารถรับผิดชอบใดๆ ต่อการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยบุคคลที่สามดังกล่าว เนื่องจากอยู่นอกการ ควบคุมของโรงพยาบาล
การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล และความปลอดภัย
1. ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูก เก็บรักษาไว้นานเท่าที่จำเป็น เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ตามที่อธิบาย ไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ หรือภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย หรือเพื่อการดำเนินการทาง กฎหมาย
2. โรงพยาบาลจะใช้มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการบริหารจัดการที่เหมาะสมเพื่อ ป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
1. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม (right to withdraw consent) : ท่านมีสิทธิในการเพิกถอนความ ยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมกับโรงพยาบาลได้ ตลอดระยะเวลาที่ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับโรงพยาบาล
2. สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (right of access) : ท่านมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและ ขอให้โรงพยาบาลทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้โรงพยาบาลเปิดเผยการได้มาซึ่ง ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมต่อโรงพยาบาลได้
3. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง (right to rectification) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาล แก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือเพิ่มเติมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์
4. สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล (right to erasure) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาลท าการลบข้อมูล ของท่านด้วยเหตุบางประการได้
5. สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล (right to restriction of processing) : ท่านมีสิทธิในการระงับการ ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
6. สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล (right to data portability) : ท่านมีสิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วน บุคคลของท่านที่ท่านให้ไว้กับโรงพยาบาลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลรายอื่น หรือตัวท่านเองด้วยเหตุบางประการได้
7. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (right to object) : ท่านมีสิทธิในการคัดค้านการ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
ท่านสามารถร้องขอการเข้าถึงหรือขอให้อัพเดตและแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน รวมถึงสิทธิอื่นใดข้างต้น หรือสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ใช้บังคับ เช่น ขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือขอให้ระงับการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน กรณีเห็นว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกนำไปใช้เกิน ขอบเขตวัตถุประสงค์การใช้งานที่แจ้งให้ทราบข้างต้น หรือไม่ได้รับความยินยอมจากท่าน
การเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะทำการพิจารณาทบทวนนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติ กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโรงพยาบาลจะแจ้ง ให้ท่านทราบด้วยการ อัพเดตข้อมูลลงในเว็บไซต์ของโรงพยาบาล https://www.ram-hosp.co.th/contactus โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้หากท่านมีคำถาม ข้อเสนอแนะ และข้อร้องเรียนเกี่ยวกับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโปรดติดต่อได้ที่อีเมลล์ support@ram-hosp.co.th
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 01 มิถุนายน 2565
(นพ.พิชญ สมบูรณสิน)
กรรมการบริหาร
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
พนักงานออฟฟิศเป็นอาชีพที่ต้องนั่งทำงานอยู่กับที่บนโต๊ะทำงานเป็นเวลานาน ไม่ค่อยได้ขยับ หรือทำกิจกรรมเพื่อยืดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จึงไม่แปลกที่กลุ่มอาการปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ หรือที่เรียกว่า ‘ออฟฟิศซินโดรม’ จะกลายเป็นโรคที่คุ้นหูในกลุ่มผู้ที่ทำงานประจำ แต่รู้หรือไม่ว่า หากมีสัญญาณเตือนเหล่านี้แล้วอย่าละเลย เพราะหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการดูแล ก็อาจกลายความเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคหมอนรองกระดูกเสื่อมได้
หมอนรองกระดูกเสื่อมเกิดจากอะไร โรงพยาบาลรามคำแหงจะอธิบายให้เข้าใจพร้อมกัน โดยทั่วไป หมอนรองกระดูกของคนเราจะค่อย ๆ เริ่มเสื่อมลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น แต่ในปัจจุบันกลับพบว่า คนวัยทำงานอายุเพียง 20-30 ปีก็สามารถเกิดภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อมได้
เนื่องจากพฤติกรรมการใช้งานกระดูกสันหลังที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้หมอนรองกระดูกสันหลังไม่สามารถทำหน้าที่รับแรงกระแทกและส่งผ่านน้ำหนักได้ดีเหมือนปกติ ข้อต่อกระดูกสันหลังจึงเกิดการอักเสบและเสื่อมสภาพ กลายเป็นอาการปวดเรื้อรัง
เมื่อไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ก็เกิดเป็น ‘โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม’ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ‘หมอนรองกระดูกเสื่อม’ ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยตามลำดับความรุนแรงของโรค
อาการของโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับตามความรุนแรงของโรค ดังนี้
ระยะแรก ผู้ป่วยมักมีอาการปวดตื้อบริเวณรอบ ๆ เอว หรือหลังแบบเป็น ๆ หาย ๆ แต่โดยทั่วไป ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ระยะกลาง เมื่อหมอนรองกระดูกเริ่มเคลื่อน หรือปลิ้นออกมาเบียดทับเส้นประสาท ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกปวดร้าวบริเวณช่วงคอลงไปถึงแขน หรือจากบริเวณหลังลงมาถึงสะโพก หรือขาจรดเท้า ซึ่งในบางรายอาจมีอาการชาร่วมด้วย
ระยะรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการปวด ชา และอ่อนแรงร่วมกัน ในบางรายอาจมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายเนื่องจากเส้นประสาทเกิดการบาดเจ็บอย่างรุนแรง และมีโอกาสเสี่ยงต่อการพิการ
6 พฤติกรรมเสี่ยงของพนักงานออฟฟิศที่นำไปสู่หมอนรองกระดูกเสื่อม มีดังนี้
นั่งทำงานในท่าที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการนั่งทำงานโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ การนั่งหลังไม่พิงพนัก นั่งหลังงอ รวมถึงการใช้งานร่างกายอย่างหนัก และพักผ่อนน้อยอย่างต่อเนื่อง
สูบบุหรี่จัด บรรยากาศการทำงานที่เคร่งเครียดย่อมส่งผลให้มีผู้ที่สูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่า ควันบุหรี่นั้นทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้น้อยลง ซึ่งรวมถึงหมอนรองกระดูกด้วย ทำให้คอลลาเจนเกิดการสลายตัว
มีน้ำหนักเกิน การกินตามใจปาก หรือทานมื้ออาหารหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ มักทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นจนเกินเกณฑ์มาตรฐาน ส่งผลให้หลังแอ่นและกระดูกสันหลังส่วนล่างต้องรับน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม หรือแตกปลิ้นได้ง่ายกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า
ขาดการออกกำลังกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อฝ่อ ลีบ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการเกิดการบาดเจ็บต่อหมอนรองกระดูกได้มากขึ้น
เล่นกีฬาอย่างไม่ระมัดระวัง ในกีฬาที่ต้องมีการปะทะ หรือมีการกระแทกกันอย่างรุนแรงมักทำให้เกิดการบาดเจ็บบริเวณกระดูกสันหลังได้โดยง่าย ผู้ที่ชื่นชอบกีฬาประเภทนี้จึงควรรักษาอาการบาดเจ็บให้หายก่อนการเล่นกีฬาครั้งต่อไป เพื่อให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟู ซึ่งถือเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสะสมเรื้อรัง
พนักงานออฟฟิศหลายคนเสพติดการทำงานหนัก แบกแล็ปท็อปไปทำงานด้วยทุกที่ ซึ่งนำไปสู่การสะพายกระเป๋าหนัก ๆ เพียงข้างเดียว ทำให้กล้ามเนื้อมัดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระดูกและกล้ามเนื้อหลังต้องรับน้ำหนักมากเกินความพอดี นอกจากนี้ การใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำของเหล่าสาวออฟฟิศ ก็สามารถส่งผลให้เกิดความผิดปกติของแนวกระดูกสันหลังได้เช่นกัน
วิธีป้องกันหมอนรองกระดูกเสื่อมสำหรับชาวออฟฟิศ สามารถเริ่มต้นได้ด้วยการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ดังนี้
ปรับท่านั่งให้ถูกต้อง การนั่งส่งผลต่อแรงกดของน้ำหนักร่างกายลงบนหมอนรองกระดูกสันหลังมากกว่าท่ายืน ดังนั้น ผู้ที่ต้องนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานาน ๆ ควรมีการปรับท่านั่งให้เหมาะสมด้วยการนั่งตัวตรง หลังไม่ค่อม ไหล่ไม่ห่อ คอตรง และหน้าไม่ยื่น รวมถึงการจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบโดยวางสิ่งของที่ต้องหยิบใช้บ่อย ๆ ในระยะเอื้อมถึงได้เพื่อป้องกันการโน้มตัวไปไกล และที่สำคัญควรปรับอุปกรณ์การทำงาน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ และแสงสว่างบริเวณโต๊ะทำงานให้มีพอดี
หลีกเลี่ยงการนั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน ในระหว่างวัน ควรลุกขึ้นเพื่อยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เดินไปสูดอากาศข้างนอกเพื่อเคลื่อนไหวและผ่อนคลายร่างกายไม่ให้กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังยึดตึงจนเกินไป ซึ่งนอกจากจะช่วยคลายความล้าและแรงกดทับแล้ว ยังสามารถช่วยการเพิ่มไหลเวียนของโลหิต ทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉง และมีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น
หลีกเลี่ยงการยกของหนัก โดยเฉพาะการยกของหนักในท่าเดิมซ้ำ ๆ เนื่องจากการยกของหนักไม่ได้เพียงแค่ใช้แรงแขนและหลังเท่านั้น แต่ยังใช้แรงจากหลังอีกด้วย ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องยกของหนัก ควรยืนอยู่ใกล้กับสิ่งของชิ้นนั้น ๆ และพยายามย่อตัวให้หลังตรงมากที่สุด และพยายามกระจายกำลังกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ เพื่อยกของชิ้นนั้นขึ้นมาโดยเลือกมุมจับที่ถนัดและมั่นคงที่สุด
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นการออกกำลังกายที่เน้นการสร้างกล้ามเนื้อในแนวแกนกลางลำตัว ซึ่งหมายถึงกล้ามเนื้อที่หลังและท้อง ด้วยการเล่นเวทเฉพาะส่วน รวมถึงการเล่นโยคะ หรือพิลาทิส ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง และมีความยืดหยุ่น ทนต่อการรับแรงมากยิ่งขึ้น
งดสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้หมอนรองกระดูกเสื่อมได้เร็วขึ้น เนื่องจากสารเคมีในบุหรี่มีผลต่อหลอดเลือด และยังทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงหมอนรองกระดูกได้ไม่ดีเท่าที่ควร มีผลทำให้หมอนรองกระดูกเสียคุณสมบัติในการยืดหยุ่นและเสื่อมเร็วกว่าวัยอันควร
แม้ว่าอาการหมอนรองกระดูกเสื่อมเป็นสิ่งที่สามารถดูแลและควบคุมได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากกิจวัตรประจำวันที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ซ้ำ ๆ ทุกวัน ๆ ดังนั้นสิ่งที่สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดปัญหาดังกล่าวสามารถทำได้เพียงแค่ดูแลตัวเองตามวิธีข้างต้น สุดท้ายแล้วถ้าหากคุณกำลังไม่แน่ใจเกี่ยวกับอาการปวดเมื่อยเรื้อรัง ปวดจนแขนชา ขาชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง สามารถเข้ามารับคำปรึกษาเบื้องต้นได้ที่โรงพยาบาลรามคำแหง
โรงพยาบาลรามคำแหง
436 ถ. รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
1512, 02-743-9999
แฟกซ์ 0 2374 0804
support@ram-hosp.co.th