เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้
เราใช้ Cookies เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีที่สุด สรุปนโยบายความเป็นส่วนตัวและ Cookies อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Policy)
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
โรงพยาบาลรามคำแหง (“โรงพยาบาล”) ได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ที่ท่านให้โรงพยาบาลใน ระหว่างการร้องขอการบริการ การเยี่ยมชมเว็บไซต์
หรือใช้แอพพลิเคชั่นของหรือจากโรงพยาบาล นโยบาย คุ้มครองข้อมูลส่วน
บุคคลนี้รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวคุณโดยเป็นการส่งต่อมาจากบุคคลที่สาม
ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง “ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือ ทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ”
การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
1. โรงพยาบาลเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของ ท่าน ที่สามารถระบุตัวตนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อประโยชน์ต่อท่านในระยะเวลาที่เหมาะสมจำเป็นต่อการให้บริการ ในกรณีที่ท่านเป็นผู้ให้ข้อมูล กับโรงพยาบาล หรือร้องขอการบริการจากโรงพยาบาลผ่านช่องทางเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่นหรือ ช่องทางอื่นใดของโรงพยาบาล อาทิเช่น การนัดหมายแพทย์ การทำธุรกรรมแบบออนไลน์ การสมัครรับจดหมายข่าว การขอรับความช่วยเหลือพิเศษ รวมไปถึงการทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ เช่น การลงทะเบียนผู้ป่วยที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนของโรงพยาบาล หรือจากความสมัครใจ ของท่านใน การทำแบบสอบถาม (Survey) หรือการโต้ตอบทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) หรือการกรอก ให้ข้อมูลประกอบการสมัครงาน หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ระหว่างโรงพยาบาล และท่าน
2. โรงพยาบาลอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลที่สาม เช่นธุรกิจในเครือข่าย ตัวแทน จำหน่าย หรือผู้ให้บริการของโรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ
ข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวมจากท่านจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของการเก็บรวบรวม และประเภทของการบริการที่ท่านร้องขอจากโรงพยาบาล ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูกนำมาใช้เพื่อให้การทำธุรกรรมออนไลน์หรือออฟไลน์ หรือบริการที่ได้รับการร้องขอเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาล เก็บรวบรวมโดยตรงจากท่าน หรือจากบุคคลที่สาม มีดังนี้
1) ข้อมูลระบุตัวตน เช่น ชื่อ ภาพถ่าย เพศ วัน เดือน ปีเกิด หนังสือเดินทาง หมายเลขบัตรประชาชน หรือหมายเลขที่สามารถระบุตัวตนอื่นๆ
2) ข้อมูลสำหรับการติดต่อ เช่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลล์
3) ข้อมูลการชำระเงิน เช่น ข้อมูลการเรียกเก็บเงิน ข้อมูลบัตรเครดิตหรือเดบิต และ รายละเอียดบัญชี ธนาคาร
4) ข้อมูลการเข้ารับบริการ เช่น ข้อมูลการนัดหมายแพทย์ ข้อมูลส่วนบุคคลของญาติ ความต้องการ เกี่ยวกับห้องพัก อาหาร และบริการเสริมอื่นๆ
5) ข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาด เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อร่วมกิจกรรมกับเรา
6) ข้อมูลสถิติ เช่น จำนวนผู้ป่วย และการเข้าชมเว็บไซต์
7) ข้อมูลจากการเข้าใช้เว็บไซต์ของโรงพยาบาล
8) ข้อมูลด้านสุขภาพ รายงานที่เกี่ยวกับสุขภาพกาย และสุขภาพจิต การดูแลสุขภาพของท่าน ผลการทดสอบจากห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ และการวินิจฉัย
9) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาและการแพ้ยาของท่าน
10) ข้อมูล Feedback และผลการรักษาที่ท่านให้ไว้
เราจะไม่เก็บและใช้ข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนของคุณ เช่น เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา ประวัติอาชญากร เว้นแต่เป็นไปตามที่ข้อบังคับและกฎหมายกำหนด หรือโดยความยินยอมของท่าน
การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1) จัดหาบริการ หรือส่งมอบบริการของโรงพยาบาล
2) นัดหมายแพทย์ ส่งข่าวสาร แนะนำบริการของโรงพยาบาล
3) การประสานงานและส่งต่อข้อมูลซึ่งจะช่วยให้การส่งต่อผู้ป่วยมีความรวดเร็วขึ้น
4) การยืนยันตัวตนของผู้ป่วย
5) ส่งข้อความแจ้งเตือนการนัดหมายแพทย์ หรือการเสนอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาล
6) อำนวยความสะดวกและนำเสนอรายการสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ท่าน
7) จุดประสงค์ด้านการตลาด การส่งเสริมการขาย และการลูกค้าสัมพันธ์ เช่น การส่งข้อมูลเกี่ยวกับ โปรโมชั่น ผลิตภัณฑ์และบริการ รายการส่งเสริมการขาย และธุรกิจพันธมิตร
8) เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร ตอบค าถาม หรือตอบสนองข้อร้องเรียน
9) สำรวจความพึงพอใจของลูกค้า วิจัยตลาด วิเคราะห์ทางสถิติประมวลผลและแสดงผลเพื่อเป็น ข้อมูลในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ หรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ ให้แก่ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น
10) วัตถุประสงค์ทางบัญชีหรือทางการเงิน เช่นการตรวจสอบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต การเรียกเก็บเงินและการตรวจสอบความถูกต้อง การขอคืนเงิน
11) รักษาความปลอดภัย รวมถึงความปลอดภัยขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล
12) เพื่อวัตถุประสงค์ในการสมัครงาน การเป็นพนักงาน หรือวัตถุประสงค์อื่นใดที่เกี่ยวข้อง
13) ปฏิบัติตามกฎของโรงพยาบาล
14) ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกำหนด ระเบียบ ข้อบังคับ หรือการร้องขอใดๆจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น การปฏิบัติตามหมายเรียกพยาน หรือคำสั่งศาล หรือการร้องขออื่นๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
15) วัตถุประสงค์อื่นๆ ที่สนับสนุนการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ข้างต้น หรือที่ได้รับความยินยอมจาก ท่านเป็นครั้งคราว
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลอาจเปิดเผยหรือถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังบุคคลที่สาม ซึ่งอาจตั้งอยู่ภายในหรือ นอกราชอาณาจักร โดยโรงพยาบาลจะดำเนินตามมาตรการที่จำเป็นและเหมาะสม หรือเป็นไปตามข้อบังคับและ กฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ที่ตามระบุไว้ข้างต้น ให้แก่
1) พันธมิตรทางธุรกิจ เช่น บริษัทประกัน พันธมิตรที่เข้าร่วมรายการโปรแกรมสะสมคะแนน และสิทธิ ประโยชน์และศูนย์การแพทย์ และหรือบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการให้บริการ
2) ธนาคาร และผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิต หรือเดบิต
3) เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงและความปลอดภัย
4) หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานศุลกากร
5) หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และหน่วยงานอื่นๆ ตามที่กฎหมายอนุญาต หรือกำหนดไว้
การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบนมือถือของโรงพยาบาล อาจมีลิงก์เชื่อมไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม หากท่านไปตาม ลิงก์เหล่านี้ นโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ไม่มีผลกับเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม โปรดทราบว่าโรงพยาบาลไม่ สามารถรับผิดชอบใดๆ ต่อการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยบุคคลที่สามดังกล่าว เนื่องจากอยู่นอกการ ควบคุมของโรงพยาบาล
การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล และความปลอดภัย
1. ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูก เก็บรักษาไว้นานเท่าที่จำเป็น เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ตามที่อธิบาย ไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ หรือภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย หรือเพื่อการดำเนินการทาง กฎหมาย
2. โรงพยาบาลจะใช้มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการบริหารจัดการที่เหมาะสมเพื่อ ป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
1. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม (right to withdraw consent) : ท่านมีสิทธิในการเพิกถอนความ ยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมกับโรงพยาบาลได้ ตลอดระยะเวลาที่ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับโรงพยาบาล
2. สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (right of access) : ท่านมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและ ขอให้โรงพยาบาลทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้โรงพยาบาลเปิดเผยการได้มาซึ่ง ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมต่อโรงพยาบาลได้
3. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง (right to rectification) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาล แก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือเพิ่มเติมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์
4. สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล (right to erasure) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาลท าการลบข้อมูล ของท่านด้วยเหตุบางประการได้
5. สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล (right to restriction of processing) : ท่านมีสิทธิในการระงับการ ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
6. สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล (right to data portability) : ท่านมีสิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วน บุคคลของท่านที่ท่านให้ไว้กับโรงพยาบาลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลรายอื่น หรือตัวท่านเองด้วยเหตุบางประการได้
7. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (right to object) : ท่านมีสิทธิในการคัดค้านการ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
ท่านสามารถร้องขอการเข้าถึงหรือขอให้อัพเดตและแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน รวมถึงสิทธิอื่นใดข้างต้น หรือสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ใช้บังคับ เช่น ขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือขอให้ระงับการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน กรณีเห็นว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกนำไปใช้เกิน ขอบเขตวัตถุประสงค์การใช้งานที่แจ้งให้ทราบข้างต้น หรือไม่ได้รับความยินยอมจากท่าน
การเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะทำการพิจารณาทบทวนนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติ กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโรงพยาบาลจะแจ้ง ให้ท่านทราบด้วยการ อัพเดตข้อมูลลงในเว็บไซต์ของโรงพยาบาล https://www.ram-hosp.co.th/contactus โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้หากท่านมีคำถาม ข้อเสนอแนะ และข้อร้องเรียนเกี่ยวกับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโปรดติดต่อได้ที่อีเมลล์ support@ram-hosp.co.th
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 01 มิถุนายน 2565
(นพ.พิชญ สมบูรณสิน)
กรรมการบริหาร
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
แผลเบาหวานเป็นอีกหนึ่งภาวะแทรกซ้อนที่พบมากในผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมอาการของโรคได้ไม่ดีพอ โดยเฉพาะแผลเรื้อรังที่เท้า จากการศึกษาพบว่า ในผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด จะมีผู้ที่มีแผลเบาหวานที่เท้าร่วมด้วยถึง 19-34% และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ดังนั้น ผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกคนจึงควรหมั่นใส่ใจสุขภาพ ดูแลไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ ซึ่งก็ถือเป็นวิธีการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและช่วยลดความเสี่ยงที่ต้องสูญเสียอวัยวะได้อีกทาง
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่เท้า สามารถเกิดจากปัจจัยดังต่อไปนี้
ภาวะปลายประสาทเสื่อม มีสาเหตุจากระดับน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มสูงติดต่อกันเป็นเวลานานมีผลทำให้ระบบประสาททำงานผิดปกติ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานเกิดอาการชา หรือไร้ความรู้สึกบริเวณปลายมือ หรือปลายเท้า ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวานจึงมักไม่รู้ตัวเมื่อเกิดบาดแผล ปล่อยให้มีการอักเสบติดเชื้อ แผลจึงหายยาก
โรคหลอดเลือดอักเสบ หรือภาวะหลอดเลือดตีบแข็งจนเกิดการอุดตันในผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากเลือดไม่สามารถไหลเวียนมาหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้ตามปกติ ทำให้การสมานแผลในผู้ป่วยเบาหวานเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะบาดแผลบริเวณปลายนิ้วเท้าหรือส้นเท้า
เนื้อเยื่ออักเสบ เป็นอีกสาเหตุนอกจากผลกระทบจากภาวะเนื้อเยื่อขาดเลือดมาหล่อเลี้ยง โดยแผลบริเวณเท้ามักเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียทำให้อักเสบลุกลาม ซึ่งหากรักษาไม่ได้ อาจนำไปสู่การสูญเสียอวัยวะอย่างถาวรได้
ในระยะแรกเริ่มของการเกิดบาดแผล หรือก่อนเกิดบาดแผล ผู้ป่วยเบาหวานมักมีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณเท้า โดยส่วนใหญ่มักมีอาการเฉพาะในตอนกลางคืน ส่วนในรายที่มีอาการรุนแรงอาจรู้สึกปวดแปลบ ๆ ทั้งวัน สีผิวเริ่มเปลี่ยน อาจซีดลงหรือคล้ำขึ้น มีอาการบวมแดง เท้าบวม
นอกจากนี้ อาการที่พบได้บ่อยคืออาการชา ซึ่งอาจเริ่มที่บริเวณเท้าทั้ง 2 ข้าง แล้วค่อย ๆ ลุกลามไปยังบริเวณมือ อาการเหล่านี้จะค่อยเป็นค่อยไป โดยผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการน้อยมาก จนไม่ทันสังเกต แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้ที่มีอาการรุนแรงมาก มีอาการชาจนไม่รู้สึกถึงสัมผัสหรืออุณหภูมิ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเดินหรือทรงตัว ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
อันตรายของแผลเบาหวาน โดยส่วนใหญ่ แผลในผู้ป่วยเบาหวานมักเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น จากของมีคม การสะดุดล้ม หรือเกิดการกระทบกระแทก ซึ่งเมื่อผู้ป่วยเบาหวานมีบาดแผลเกิดขึ้นแล้ว แผลมักหายยากกว่าคนปกติ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่าง ๆ ดังนี้
แผลเรื้อรังรักษายาก เมื่อผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติ ก็จะทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงตีบ ซึ่งจะทำให้เลือดไม่สามารถนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลายได้ดีเท่าที่ควร แผลเบาหวานส่วนใหญ่จึงขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้แผลหายช้า รักษายาก และอาจเป็นเรื้อรัง
ติดเชื้อแทรกซ้อน โดยแผลที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานมักมีการติดเชื้อร่วมด้วยเสมอ ส่วนใหญ่จะพบว่าเป็นการอักเสบลุกลามจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อในบริเวณนั้นส่งกลิ่นเหม็นได้
ปลายประสาทเสื่อม โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะเกิดอาการชา ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ หรือรู้สึกว่าตัวเองเกิดบาดแผล เมื่อปล่อยไว้จึงเกิดการอักเสบลุกลาม ซึ่งในบางราย อาจเกิดการติดเชื้อลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด เป็นอันตรายต่อชีวิต
เท้าผิดรูป มักเกิดขึ้นพร้อมกับอาการบวมแดง รู้สึกร้อนที่เท้า หรือผิวแห้งหนาผิดปกติ หรือมีก้อนนูนขึ้นมากดเนื้อเยื่อข้างใต้ ซึ่งจะทำให้เกิดแรงกดเฉพาะที่ส่งผลให้เนื้อเยื่อตาย
ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม เมื่อระบบประสาทที่ควบคุมต่อมไขมันและต่อมเหงื่อเกิดความผิดปกติ ก็จะทำให้ผิวหนังแห้งแตกง่าย และมีเหงื่อออกน้อย เชื้อโรคจึงสามารถเข้าไปตามรอยแตกทำให้เกิดเป็นบาดแผลและมีการลุกลามได้ง่ายมากขึ้น
มีความเสี่ยงสูญเสียอวัยวะ โดยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุ ซึ่งจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดบาดแผลและอักเสบเรื้อรังมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อย เนื่องจากกลไกในการต่อสู้กับเชื้อโรคของร่างกายอาจเสื่อมถอยลงไป การสมานแผลช้า ซึ่งเกิดจากการที่เนื้อเยื่อขาดเลือดมาหล่อเลี้ยง ก็จะทำให้เกิดการอักเสบลุกลาม ซึ่งเมื่อไม่สามารถรักษาได้ ก็อาจต้องตัดขา หรืออวัยวะส่วนนั้น ๆ ที่เกิดบาดแผล
เมื่อเกิดบาดแผลแล้ว ผู้ป่วยเบาหวานสามารถดูแลแผลเบาหวานได้ด้วยตัวเอง ดังนี้
ผู้ป่วยเบาหวานควรหมั่นดูแลทำความสะอาดแผลให้ปราศจากเชื้อโรคด้วยการล้างแผลด้วยน้ำสบู่ หรือน้ำเกลือ และควรเช็ดทำความสะอาดบาดแผลวันละ 2-4 ครั้ง ที่สำคัญ ควรเช็ดแผลให้แห้งสนิท และหลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์ในการทำความสะอาดเนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ในการทำลายโปรตีนในเนื้อเยื่อ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อบาดแผลในระยะยาวได้
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานควรลดการรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เพราะเมื่ออาหารประเภทนี้ถูกย่อยแล้ว ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อใหญ่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ระดับน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้น ผู้ป่วยเบาหวานควรแบ่งรับประทานมื้อเล็ก ๆ แต่รับประทานหลาย ๆ มื้อแทน
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการขาดการออกกำลังกายจะทำให้ผู้ป่วยเบาหวานเกิดภาวะการดื้อต่ออินซูลินได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อินซูลินไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ การควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายจึงเป็นไปได้ยาก ดังนั้น การออกกำลังกายจะช่วยให้ภาวะดื้อต่ออินซูลินลดลง และร่างกายสามารถนำเอาน้ำตาลไปใช้ได้มากยิ่งขึ้น
การใช้ยาควบคุมระดับน้ำตาล ซึ่งโรคเบาหวานเป็นโรคที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ป่วยเพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างตรงเวลา และสม่ำเสมอ ซึ่งแพทย์จะมีการปรับขนาดและการใช้ยาโดยพิจารณาเป็นรายบุคคลแล้วแต่ความรุนแรงของโรค
การหมั่นคอยสังเกตบาดแผลและความผิดปกติของแผลอยู่เสมอ ก็เป็นอีกวิธีในการช่วยลดภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะหากมีน้ำเหลือง ผู้ป่วยควรใช้ผ้าก๊อซอุดแผลเพื่อซับหนองออกจากแผลให้หมด เพื่อป้องกันไม่ให้แผลอักเสบติดเชื้อรุนแรง และควรเข้าพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เนื่องจากแผลมีหนองจะมีโอกาสลุกลามสูง
ดูแลแผลกดทับเป็นสาเหตุของการตายของเนื้อเยื่อ ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นเมื่อมีแรงกดทับบริเวณผิวหนังกับพื้นผิว เป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้น หากเกิดแผลกดทับ ควรทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือและปิดแผลให้แห้งสนิทด้วยผ้าปิดแผลที่ฆ่าเชื้อแล้วเท่านั้น ไม่ควรใช้พลาสเตอร์ปิดที่แผลโดยตรง
แพ็กเกจคัดกรองโรคเบาหวาน โรงพยาบาลรามคำแหง
โรงพยาบาลรามคำแหง
436 ถ. รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
1512, 02-743-9999
แฟกซ์ 0 2374 0804
support@ram-hosp.co.th