เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้
เราใช้ Cookies เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีที่สุด สรุปนโยบายความเป็นส่วนตัวและ Cookies อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Policy)
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
โรงพยาบาลรามคำแหง (“โรงพยาบาล”) ได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ที่ท่านให้โรงพยาบาลใน ระหว่างการร้องขอการบริการ การเยี่ยมชมเว็บไซต์
หรือใช้แอพพลิเคชั่นของหรือจากโรงพยาบาล นโยบาย คุ้มครองข้อมูลส่วน
บุคคลนี้รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวคุณโดยเป็นการส่งต่อมาจากบุคคลที่สาม
ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง “ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือ ทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ”
การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
1. โรงพยาบาลเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของ ท่าน ที่สามารถระบุตัวตนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อประโยชน์ต่อท่านในระยะเวลาที่เหมาะสมจำเป็นต่อการให้บริการ ในกรณีที่ท่านเป็นผู้ให้ข้อมูล กับโรงพยาบาล หรือร้องขอการบริการจากโรงพยาบาลผ่านช่องทางเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่นหรือ ช่องทางอื่นใดของโรงพยาบาล อาทิเช่น การนัดหมายแพทย์ การทำธุรกรรมแบบออนไลน์ การสมัครรับจดหมายข่าว การขอรับความช่วยเหลือพิเศษ รวมไปถึงการทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ เช่น การลงทะเบียนผู้ป่วยที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนของโรงพยาบาล หรือจากความสมัครใจ ของท่านใน การทำแบบสอบถาม (Survey) หรือการโต้ตอบทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) หรือการกรอก ให้ข้อมูลประกอบการสมัครงาน หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ระหว่างโรงพยาบาล และท่าน
2. โรงพยาบาลอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลที่สาม เช่นธุรกิจในเครือข่าย ตัวแทน จำหน่าย หรือผู้ให้บริการของโรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ
ข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวมจากท่านจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของการเก็บรวบรวม และประเภทของการบริการที่ท่านร้องขอจากโรงพยาบาล ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูกนำมาใช้เพื่อให้การทำธุรกรรมออนไลน์หรือออฟไลน์ หรือบริการที่ได้รับการร้องขอเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาล เก็บรวบรวมโดยตรงจากท่าน หรือจากบุคคลที่สาม มีดังนี้
1) ข้อมูลระบุตัวตน เช่น ชื่อ ภาพถ่าย เพศ วัน เดือน ปีเกิด หนังสือเดินทาง หมายเลขบัตรประชาชน หรือหมายเลขที่สามารถระบุตัวตนอื่นๆ
2) ข้อมูลสำหรับการติดต่อ เช่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลล์
3) ข้อมูลการชำระเงิน เช่น ข้อมูลการเรียกเก็บเงิน ข้อมูลบัตรเครดิตหรือเดบิต และ รายละเอียดบัญชี ธนาคาร
4) ข้อมูลการเข้ารับบริการ เช่น ข้อมูลการนัดหมายแพทย์ ข้อมูลส่วนบุคคลของญาติ ความต้องการ เกี่ยวกับห้องพัก อาหาร และบริการเสริมอื่นๆ
5) ข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาด เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อร่วมกิจกรรมกับเรา
6) ข้อมูลสถิติ เช่น จำนวนผู้ป่วย และการเข้าชมเว็บไซต์
7) ข้อมูลจากการเข้าใช้เว็บไซต์ของโรงพยาบาล
8) ข้อมูลด้านสุขภาพ รายงานที่เกี่ยวกับสุขภาพกาย และสุขภาพจิต การดูแลสุขภาพของท่าน ผลการทดสอบจากห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ และการวินิจฉัย
9) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาและการแพ้ยาของท่าน
10) ข้อมูล Feedback และผลการรักษาที่ท่านให้ไว้
เราจะไม่เก็บและใช้ข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนของคุณ เช่น เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา ประวัติอาชญากร เว้นแต่เป็นไปตามที่ข้อบังคับและกฎหมายกำหนด หรือโดยความยินยอมของท่าน
การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1) จัดหาบริการ หรือส่งมอบบริการของโรงพยาบาล
2) นัดหมายแพทย์ ส่งข่าวสาร แนะนำบริการของโรงพยาบาล
3) การประสานงานและส่งต่อข้อมูลซึ่งจะช่วยให้การส่งต่อผู้ป่วยมีความรวดเร็วขึ้น
4) การยืนยันตัวตนของผู้ป่วย
5) ส่งข้อความแจ้งเตือนการนัดหมายแพทย์ หรือการเสนอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาล
6) อำนวยความสะดวกและนำเสนอรายการสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ท่าน
7) จุดประสงค์ด้านการตลาด การส่งเสริมการขาย และการลูกค้าสัมพันธ์ เช่น การส่งข้อมูลเกี่ยวกับ โปรโมชั่น ผลิตภัณฑ์และบริการ รายการส่งเสริมการขาย และธุรกิจพันธมิตร
8) เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร ตอบค าถาม หรือตอบสนองข้อร้องเรียน
9) สำรวจความพึงพอใจของลูกค้า วิจัยตลาด วิเคราะห์ทางสถิติประมวลผลและแสดงผลเพื่อเป็น ข้อมูลในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ หรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ ให้แก่ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น
10) วัตถุประสงค์ทางบัญชีหรือทางการเงิน เช่นการตรวจสอบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต การเรียกเก็บเงินและการตรวจสอบความถูกต้อง การขอคืนเงิน
11) รักษาความปลอดภัย รวมถึงความปลอดภัยขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล
12) เพื่อวัตถุประสงค์ในการสมัครงาน การเป็นพนักงาน หรือวัตถุประสงค์อื่นใดที่เกี่ยวข้อง
13) ปฏิบัติตามกฎของโรงพยาบาล
14) ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกำหนด ระเบียบ ข้อบังคับ หรือการร้องขอใดๆจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น การปฏิบัติตามหมายเรียกพยาน หรือคำสั่งศาล หรือการร้องขออื่นๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
15) วัตถุประสงค์อื่นๆ ที่สนับสนุนการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ข้างต้น หรือที่ได้รับความยินยอมจาก ท่านเป็นครั้งคราว
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลอาจเปิดเผยหรือถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังบุคคลที่สาม ซึ่งอาจตั้งอยู่ภายในหรือ นอกราชอาณาจักร โดยโรงพยาบาลจะดำเนินตามมาตรการที่จำเป็นและเหมาะสม หรือเป็นไปตามข้อบังคับและ กฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ที่ตามระบุไว้ข้างต้น ให้แก่
1) พันธมิตรทางธุรกิจ เช่น บริษัทประกัน พันธมิตรที่เข้าร่วมรายการโปรแกรมสะสมคะแนน และสิทธิ ประโยชน์และศูนย์การแพทย์ และหรือบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการให้บริการ
2) ธนาคาร และผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิต หรือเดบิต
3) เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงและความปลอดภัย
4) หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานศุลกากร
5) หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และหน่วยงานอื่นๆ ตามที่กฎหมายอนุญาต หรือกำหนดไว้
การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบนมือถือของโรงพยาบาล อาจมีลิงก์เชื่อมไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม หากท่านไปตาม ลิงก์เหล่านี้ นโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ไม่มีผลกับเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม โปรดทราบว่าโรงพยาบาลไม่ สามารถรับผิดชอบใดๆ ต่อการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยบุคคลที่สามดังกล่าว เนื่องจากอยู่นอกการ ควบคุมของโรงพยาบาล
การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล และความปลอดภัย
1. ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูก เก็บรักษาไว้นานเท่าที่จำเป็น เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ตามที่อธิบาย ไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ หรือภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย หรือเพื่อการดำเนินการทาง กฎหมาย
2. โรงพยาบาลจะใช้มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการบริหารจัดการที่เหมาะสมเพื่อ ป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
1. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม (right to withdraw consent) : ท่านมีสิทธิในการเพิกถอนความ ยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมกับโรงพยาบาลได้ ตลอดระยะเวลาที่ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับโรงพยาบาล
2. สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (right of access) : ท่านมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและ ขอให้โรงพยาบาลทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้โรงพยาบาลเปิดเผยการได้มาซึ่ง ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมต่อโรงพยาบาลได้
3. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง (right to rectification) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาล แก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือเพิ่มเติมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์
4. สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล (right to erasure) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาลท าการลบข้อมูล ของท่านด้วยเหตุบางประการได้
5. สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล (right to restriction of processing) : ท่านมีสิทธิในการระงับการ ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
6. สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล (right to data portability) : ท่านมีสิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วน บุคคลของท่านที่ท่านให้ไว้กับโรงพยาบาลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลรายอื่น หรือตัวท่านเองด้วยเหตุบางประการได้
7. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (right to object) : ท่านมีสิทธิในการคัดค้านการ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
ท่านสามารถร้องขอการเข้าถึงหรือขอให้อัพเดตและแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน รวมถึงสิทธิอื่นใดข้างต้น หรือสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ใช้บังคับ เช่น ขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือขอให้ระงับการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน กรณีเห็นว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกนำไปใช้เกิน ขอบเขตวัตถุประสงค์การใช้งานที่แจ้งให้ทราบข้างต้น หรือไม่ได้รับความยินยอมจากท่าน
การเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะทำการพิจารณาทบทวนนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติ กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโรงพยาบาลจะแจ้ง ให้ท่านทราบด้วยการ อัพเดตข้อมูลลงในเว็บไซต์ของโรงพยาบาล https://www.ram-hosp.co.th/contactus โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้หากท่านมีคำถาม ข้อเสนอแนะ และข้อร้องเรียนเกี่ยวกับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโปรดติดต่อได้ที่อีเมลล์ support@ram-hosp.co.th
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 01 มิถุนายน 2565
(นพ.พิชญ สมบูรณสิน)
กรรมการบริหาร
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเมื่อได้ยินเสียงเบส หรือเสียงกลองที่ฟังดูรัว ๆ ทำให้หัวใจเราเต้นเป็นจังหวะนั้น ๆ ตามไปด้วย จนในบางครั้งเกิดนึกสงสัยว่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือเปล่า ในความเป็นจริงแล้ว หัวใจไม่สามารถเต้นเป็นจังหวะตามเสียงเพลงได้อย่างที่เรารู้สึก โดยการเต้นของหัวใจจะขึ้นอยู่กับอิริยาบถ และสภาวะอารมณ์ของเราเองในขณะนั้น ๆ ซึ่งเราสามารถตรวจเช็กการเต้นของหัวใจเบื้องต้นได้ง่าย ๆ ด้วยการจับชีพจร และเมื่อใดหากพบว่าตัวเองเริ่มมีอาการใจสั่น แม้ขณะนั่งพักและอยู่ในอารมณ์ปกติ ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งนับเป็นภัยเงียบที่ควรเช็กให้ชัวร์ ก่อนจะสายเกินแก้
โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ คือ ภาวะความผิดปกติของการกำเนิดกระแสไฟฟ้าหัวใจ หรือเป็นความผิดปกติของการนำไฟฟ้าในหัวใจ ซึ่งในบางกรณีอาจเกิดจากความผิดปกติทั้งสองก็ได้ โดยความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้ จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหัวใจเต้นช้า (น้อยกว่า 60 ครั้ง/นาที) หรือเร็วผิดปกติ (มากกว่า 100 ครั้ง/นาที) หรือในบางกรณีอาจเต้นไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เต้นเร็วสลับช้า ซึ่งอาการของโรคมักแตกต่างไปตามสาเหตุการเกิดโรคในแต่ละบุคคล ซึ่งในบางประเภทอาจไม่เป็นอันตราย แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อน หรือโรคอื่น ๆ ตามมา และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
สาเหตุหลักของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้น ในบางครั้ง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอาจก็สามารถเกิดขึ้นได้เองโดยไม่มีสาเหตุ แต่โดยทั่วไป ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมักเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
การมีโรคประจำตัว อาทิ โรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคไตวายเรื้อรัง หรือโรคนอนกรนร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ เป็นต้น
โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจเต้นผิดหวะ ซึ่งประกอบด้วย โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคผนังกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคความดันโลหิตสูง โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ เป็นต้น
การใช้ยาบางประเภท หรือ การรับประทานยาบางชนิด อาจส่งผลต่อการเกิดโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ โดยเฉพาะยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ เช่น ยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน ยาขยายหลอดลม รวมถึงยาชนิดต่าง ๆ ที่มีฤทธิ์คลายความเครียดและความวิตกกังวล
การดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนที่มากเกินไป รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การใช้ยาลดน้ำหนัก แม้ว่าจะเป็นการใช้ยาที่มีส่วนผสมของไซบูทรามีน (Sibutramine) ที่สามารถช่วยลดความอยากอาหารและเร่งการเผาผลาญของร่างกายได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็สามารถทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ใจสั่น เจ็บหน้าอก และจากการศึกษาพบว่า ยาชนิดนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และโอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง หรือสโตรก (Stroke) ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย
พันธุกรรม เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะรวมถึงโรคหัวใจอื่น ๆ บางประเภทได้เช่นกัน
สำหรับผู้ที่สงสัยว่า จะเช็กได้อย่างไร ว่าหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อาจเริ่มต้นจากการวินิจฉัยง่าย ๆ ด้วยการจับชีพจรตนเอง และหากพบว่าชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ หรือเต้นรัวเร็ว หรือช้าจนเกินไป ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด ซึ่งแพทย์จะพิจารณาใช้วิธีการตรวจต่าง ๆ ที่เหมาะสม ซึ่งประกอบด้วย
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography หรือ EKG) คือ การติดขั้วไฟฟ้าบนผิวหนังเพื่อบันทึกจังหวะการเต้นและกิจกรรมทางไฟฟ้าของหัวใจ โดยสัญญาณเหล่านี้จะถูกบันทึกโดยเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และสามารถพิมพ์ออกมาในรูปแบบกระดาษเพื่อให้แพทย์ประเมินได้อย่างถูกต้อง นับเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพมากโดยเฉพาะเมื่อตรวจในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการ
การตรวจสมรรถภาพของหัวใจ EST (Exercise Stress Test) คือ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะทำงานหนักด้วยการออกกำลังกายด้วยการเดินบนสายพาน (Treadmill) หรือการปั่นจักรยาน (Cycling) ซึ่งวิธีนี้จ ะช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบการตอบสนองที่ผิดปกติ อาทิ อาการหายใจลำบาก อาการเจ็บแน่นหน้าอก การเต้นของหัวใจผิดปกติ หรือการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น
การตรวจหัวใจด้วยเครื่องสะท้อนเสียงความถี่สูง (Echocardiogram) หรือที่เรียกกันว่า การทำเอคโค่หัวใจ (Echo) เป็นการตรวจเพื่อประเมินประสิทธิภาพของหัวใจโดยใช้ข้อมูลที่ถูกแปลเป็นภาพบนจอมอนิเตอร์ที่แสดงให้เห็นถึงรูปร่าง ขนาด และการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจและลิ้นหัวใจ ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงความผิดปกติ รวมถึงการบีบและคลายตัวของหัวใจอีกด้วย
เครื่องบันทึกสัญญาณไฟฟ้าแบบพกพา (Event Recorder) มีลักษณะคล้ายโทรศัพท์มือถือ ผู้ป่วยสามารถพกพาไปยังที่ต่าง ๆ ได้ โดยที่เมื่อผู้ป่วยเกิดอาการ ก็สามารถนำมาทาบที่หน้าอกเพื่อบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ข้อมูลที่ตรวจพบจะถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยได้โดยละเอียด นับเป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะไม่บ่อยครั้ง
การบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกติดตัว (Holter Monitor) เป็นวิธีการตรวจที่ใช้บ่อยสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการใจสั่น หรือเป็นลมหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยติดเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจตลอด 24 ชั่วโมงนี้หรือนานกว่านั้นไว้กับตัวเพื่อบันทึกการเต้นของหัวใจและตรวจหาจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ โดยที่ผู้ป่วยสามารถกลับไปพักที่บ้านหรือทำงานได้ตามปกติ
เครื่องบันทึกการเต้นของหัวใจชนิดฝังใต้ผิวหนัง (Implantable Loop Recorder เป็นวิธีการฝังเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบต่อเนื่องไว้บริเวณหน้าอกด้านซ้ายของผู้ป่วย เพื่อใช้บันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจทั้งในภาวะหัวใจเต้นปกติและเต้นผิดจังหวะ โดยเครื่องดังกล่าวนี้สามารถบันทึกข้อมูลได้นาน 2-3 ปี ทำให้สามารถติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้ตลอดเวลา เหมาะกับผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะไม่บ่อย
การตรวจทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ (Electrophysiology Study หรือ EP Study) ในกรณีที่ไม่สามารถตรวจหาภาวะหัวใจเต้นผิดปกติด้วยวิธีอื่น ๆ แพทย์จะทำการตรวจการทำงานของระบบไฟฟ้าหัวใจด้วยการกระตุ้นให้เกิดหัวใจเต้นผิดปกติขึ้น เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของอาการ
แพ็กเกจคัดกรองโรคหัวใจ โรงพยาบาลรามคำแหง ได้แก่
โปรแกรมตรวจสุขภาพโรคหัวใจ Healthy Heart package (ผู้ชาย-ผู้หญิง) ราคา 5,990
โปรแกรมตรวจสุขภาพโรคหัวใจ Healthy Heart Plus package (ผู้ชาย-ผู้หญิง) ราคา 6,990
โปรแกรมตรวจสุขภาพโรคหัวใจ Advanced Intensive Heart package (ผู้ชาย-ผู้หญิง) ราคา 9,990
โปรแกรมตรวจสุขภาพโรคหัวใจ Advanced Intensive Heart Plus package (ผู้ชาย-ผู้หญิง) ราคา 14,990
โรงพยาบาลรามคำแหง
436 ถ. รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
1512, 02-743-9999
แฟกซ์ 0 2374 0804
support@ram-hosp.co.th