เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้
เราใช้ Cookies เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีที่สุด สรุปนโยบายความเป็นส่วนตัวและ Cookies อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Policy)
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
โรงพยาบาลรามคำแหง (“โรงพยาบาล”) ได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ที่ท่านให้โรงพยาบาลใน ระหว่างการร้องขอการบริการ การเยี่ยมชมเว็บไซต์
หรือใช้แอพพลิเคชั่นของหรือจากโรงพยาบาล นโยบาย คุ้มครองข้อมูลส่วน
บุคคลนี้รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวคุณโดยเป็นการส่งต่อมาจากบุคคลที่สาม
ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง “ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือ ทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ”
การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
1. โรงพยาบาลเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของ ท่าน ที่สามารถระบุตัวตนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อประโยชน์ต่อท่านในระยะเวลาที่เหมาะสมจำเป็นต่อการให้บริการ ในกรณีที่ท่านเป็นผู้ให้ข้อมูล กับโรงพยาบาล หรือร้องขอการบริการจากโรงพยาบาลผ่านช่องทางเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่นหรือ ช่องทางอื่นใดของโรงพยาบาล อาทิเช่น การนัดหมายแพทย์ การทำธุรกรรมแบบออนไลน์ การสมัครรับจดหมายข่าว การขอรับความช่วยเหลือพิเศษ รวมไปถึงการทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ เช่น การลงทะเบียนผู้ป่วยที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนของโรงพยาบาล หรือจากความสมัครใจ ของท่านใน การทำแบบสอบถาม (Survey) หรือการโต้ตอบทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) หรือการกรอก ให้ข้อมูลประกอบการสมัครงาน หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ระหว่างโรงพยาบาล และท่าน
2. โรงพยาบาลอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลที่สาม เช่นธุรกิจในเครือข่าย ตัวแทน จำหน่าย หรือผู้ให้บริการของโรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ
ข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวมจากท่านจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของการเก็บรวบรวม และประเภทของการบริการที่ท่านร้องขอจากโรงพยาบาล ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูกนำมาใช้เพื่อให้การทำธุรกรรมออนไลน์หรือออฟไลน์ หรือบริการที่ได้รับการร้องขอเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาล เก็บรวบรวมโดยตรงจากท่าน หรือจากบุคคลที่สาม มีดังนี้
1) ข้อมูลระบุตัวตน เช่น ชื่อ ภาพถ่าย เพศ วัน เดือน ปีเกิด หนังสือเดินทาง หมายเลขบัตรประชาชน หรือหมายเลขที่สามารถระบุตัวตนอื่นๆ
2) ข้อมูลสำหรับการติดต่อ เช่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลล์
3) ข้อมูลการชำระเงิน เช่น ข้อมูลการเรียกเก็บเงิน ข้อมูลบัตรเครดิตหรือเดบิต และ รายละเอียดบัญชี ธนาคาร
4) ข้อมูลการเข้ารับบริการ เช่น ข้อมูลการนัดหมายแพทย์ ข้อมูลส่วนบุคคลของญาติ ความต้องการ เกี่ยวกับห้องพัก อาหาร และบริการเสริมอื่นๆ
5) ข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาด เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อร่วมกิจกรรมกับเรา
6) ข้อมูลสถิติ เช่น จำนวนผู้ป่วย และการเข้าชมเว็บไซต์
7) ข้อมูลจากการเข้าใช้เว็บไซต์ของโรงพยาบาล
8) ข้อมูลด้านสุขภาพ รายงานที่เกี่ยวกับสุขภาพกาย และสุขภาพจิต การดูแลสุขภาพของท่าน ผลการทดสอบจากห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ และการวินิจฉัย
9) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาและการแพ้ยาของท่าน
10) ข้อมูล Feedback และผลการรักษาที่ท่านให้ไว้
เราจะไม่เก็บและใช้ข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนของคุณ เช่น เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา ประวัติอาชญากร เว้นแต่เป็นไปตามที่ข้อบังคับและกฎหมายกำหนด หรือโดยความยินยอมของท่าน
การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1) จัดหาบริการ หรือส่งมอบบริการของโรงพยาบาล
2) นัดหมายแพทย์ ส่งข่าวสาร แนะนำบริการของโรงพยาบาล
3) การประสานงานและส่งต่อข้อมูลซึ่งจะช่วยให้การส่งต่อผู้ป่วยมีความรวดเร็วขึ้น
4) การยืนยันตัวตนของผู้ป่วย
5) ส่งข้อความแจ้งเตือนการนัดหมายแพทย์ หรือการเสนอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาล
6) อำนวยความสะดวกและนำเสนอรายการสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ท่าน
7) จุดประสงค์ด้านการตลาด การส่งเสริมการขาย และการลูกค้าสัมพันธ์ เช่น การส่งข้อมูลเกี่ยวกับ โปรโมชั่น ผลิตภัณฑ์และบริการ รายการส่งเสริมการขาย และธุรกิจพันธมิตร
8) เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร ตอบค าถาม หรือตอบสนองข้อร้องเรียน
9) สำรวจความพึงพอใจของลูกค้า วิจัยตลาด วิเคราะห์ทางสถิติประมวลผลและแสดงผลเพื่อเป็น ข้อมูลในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ หรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ ให้แก่ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น
10) วัตถุประสงค์ทางบัญชีหรือทางการเงิน เช่นการตรวจสอบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต การเรียกเก็บเงินและการตรวจสอบความถูกต้อง การขอคืนเงิน
11) รักษาความปลอดภัย รวมถึงความปลอดภัยขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล
12) เพื่อวัตถุประสงค์ในการสมัครงาน การเป็นพนักงาน หรือวัตถุประสงค์อื่นใดที่เกี่ยวข้อง
13) ปฏิบัติตามกฎของโรงพยาบาล
14) ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกำหนด ระเบียบ ข้อบังคับ หรือการร้องขอใดๆจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น การปฏิบัติตามหมายเรียกพยาน หรือคำสั่งศาล หรือการร้องขออื่นๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
15) วัตถุประสงค์อื่นๆ ที่สนับสนุนการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ข้างต้น หรือที่ได้รับความยินยอมจาก ท่านเป็นครั้งคราว
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลอาจเปิดเผยหรือถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังบุคคลที่สาม ซึ่งอาจตั้งอยู่ภายในหรือ นอกราชอาณาจักร โดยโรงพยาบาลจะดำเนินตามมาตรการที่จำเป็นและเหมาะสม หรือเป็นไปตามข้อบังคับและ กฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ที่ตามระบุไว้ข้างต้น ให้แก่
1) พันธมิตรทางธุรกิจ เช่น บริษัทประกัน พันธมิตรที่เข้าร่วมรายการโปรแกรมสะสมคะแนน และสิทธิ ประโยชน์และศูนย์การแพทย์ และหรือบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการให้บริการ
2) ธนาคาร และผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิต หรือเดบิต
3) เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงและความปลอดภัย
4) หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานศุลกากร
5) หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และหน่วยงานอื่นๆ ตามที่กฎหมายอนุญาต หรือกำหนดไว้
การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบนมือถือของโรงพยาบาล อาจมีลิงก์เชื่อมไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม หากท่านไปตาม ลิงก์เหล่านี้ นโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ไม่มีผลกับเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม โปรดทราบว่าโรงพยาบาลไม่ สามารถรับผิดชอบใดๆ ต่อการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยบุคคลที่สามดังกล่าว เนื่องจากอยู่นอกการ ควบคุมของโรงพยาบาล
การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล และความปลอดภัย
1. ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูก เก็บรักษาไว้นานเท่าที่จำเป็น เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ตามที่อธิบาย ไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ หรือภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย หรือเพื่อการดำเนินการทาง กฎหมาย
2. โรงพยาบาลจะใช้มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการบริหารจัดการที่เหมาะสมเพื่อ ป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
1. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม (right to withdraw consent) : ท่านมีสิทธิในการเพิกถอนความ ยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมกับโรงพยาบาลได้ ตลอดระยะเวลาที่ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับโรงพยาบาล
2. สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (right of access) : ท่านมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและ ขอให้โรงพยาบาลทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้โรงพยาบาลเปิดเผยการได้มาซึ่ง ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมต่อโรงพยาบาลได้
3. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง (right to rectification) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาล แก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือเพิ่มเติมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์
4. สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล (right to erasure) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาลท าการลบข้อมูล ของท่านด้วยเหตุบางประการได้
5. สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล (right to restriction of processing) : ท่านมีสิทธิในการระงับการ ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
6. สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล (right to data portability) : ท่านมีสิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วน บุคคลของท่านที่ท่านให้ไว้กับโรงพยาบาลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลรายอื่น หรือตัวท่านเองด้วยเหตุบางประการได้
7. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (right to object) : ท่านมีสิทธิในการคัดค้านการ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
ท่านสามารถร้องขอการเข้าถึงหรือขอให้อัพเดตและแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน รวมถึงสิทธิอื่นใดข้างต้น หรือสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ใช้บังคับ เช่น ขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือขอให้ระงับการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน กรณีเห็นว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกนำไปใช้เกิน ขอบเขตวัตถุประสงค์การใช้งานที่แจ้งให้ทราบข้างต้น หรือไม่ได้รับความยินยอมจากท่าน
การเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะทำการพิจารณาทบทวนนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติ กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโรงพยาบาลจะแจ้ง ให้ท่านทราบด้วยการ อัพเดตข้อมูลลงในเว็บไซต์ของโรงพยาบาล https://www.ram-hosp.co.th/contactus โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้หากท่านมีคำถาม ข้อเสนอแนะ และข้อร้องเรียนเกี่ยวกับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโปรดติดต่อได้ที่อีเมลล์ support@ram-hosp.co.th
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 01 มิถุนายน 2565
(นพ.พิชญ สมบูรณสิน)
กรรมการบริหาร
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
เคี้ยวแล้วปวด กรามค้างและมีเสียง เสี่ยงข้อต่อขากรรไกรผิดปกติ T.M.D.
ถ้าท่านเคยมีอาการข้อใดข้อหนึ่งแสดงว่าท่านอาจเริ่มมีความผิดปกติบริเวณกล้ามเนื้อที่ใช้ในการบดเคี้ยวหรือข้อต่อขากรรไกรผิดปรกติ ซึ่งเรารวมเรียกว่า ระบบการบดเคี้ยว กลุ่มอาการนี้เรียกรวมย่อว่า T.M.D
ภาวะผิดปรกติบริเวณระบบการบดเคี้ยว
Temporomandibular Disorders (T.M.D) คือกลุ่มความผิดปรกติซึ่งเกิดบริเวณระบบบดเคี้ยวทั้งส่วนกระดูก เอ็น ข้อและกล้ามเนื้อที่ใช้ทำหน้าที่บดเคี้ยว ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บบริเวณใบหน้าและช่องปาก ส่วนอาการที่คล้ายคลึงกับ TMD แต่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากระบบกระดูก เอ็น ข้อ และกล้ามเนื้อโดยตรง จะไม่จัดว่าเป็น TMD อย่างแท้จริง เพราะอาจมีสาเหตุอื่น ได้แก่ การเกิดโรคฟันและอวัยวะปริทันต์ กระดูกหัก โรคทางช่องหู โรคติดเชื้อ เนื้องอกชนิดต่าง ๆ โรคไหลเวียนโลหิต โรคของระบบประสาท เป็นต้น บางครั้งผู้ป่วยอาจมีอาการของ TMD ร่วมกับความผิดปกติของระบบอื่นๆ ได้พร้อมกัน
มีปัจจัยต่างๆ ที่ลดความสามารถในการปรับตัวของระบบการบดเคี้ยวและทำให้เกิดกลุ่มอาการ TMD ได้ คือ
อาการของความผิดปรกติบริเวณระบบบดเคี้ยวพบได้ในคนทุกเพศวัย ทว่าในเด็กจะเกิดค่อนข้างน้อยและไม่รุนแรง แน่นอนว่ายิ่งอายุมาก ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดความผิดปรกติดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ระดับความรุนแรงของอาการมักไม่ค่อยแตกต่าง ทว่าเมื่อปวดจะส่งผลถึงรูปร่างของอวัยวะในระบบบดเคี้ยวมาก โดยเฉพาะบริเวณขากรรไกรยิ่งพบมากในผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้หญิงอายุราว 20-40 ปีเนื่องจากผู้หญิงขอเข้ารับการรักษามากกว่าผู้ชายในอัตราส่วน 3:1 ถึง 9:1 อาจเป็นเพราะว่าผู้หญิงเอาใจใส่สุขภาพของตนเองมากกว่าผู้ชาย
เป็นอาการที่พบมากที่สุดในผู้ป่วย TMD และเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์หรือทันตแพทย์ บริเวณที่มักมีอาการปวด ได้แก่ บริเวณ หน้า หู กราม ขมับ อาการปวดมักเพิ่มขึ้นขณะเคี้ยว หาว การพูดหรืออื่นๆเมื่อกดที่บริเวณนั้นๆ จะเกิดอาการเจ็บปวดมากขึ้น ลักษณะการปวดกล้ามเนื้อใบหน้า มักจะมีลักษณะแผ่กระจายต่อเนื่องปวดตื้อๆตึงหรือเหมือนถูกบีบ สาเหตุของการปวดหรือเมื่อยล้านี้เกิดจากการขาดเลือดและมีการหดตัวของหลอดเลือด ส่วนอาการปวดที่ข้อต่อจะมีลักษณะปวดจี๊ดๆ และรุนแรงที่มักเกิดอาการร่วมกับการเคลื่อนที่ของขากรรไกรเมื่อขากรรไกรพักอาการปวดจะหายอย่างรวดเร็ว
มักเกิดขณะอ้าปาก หุบปาก เยื้องคางหรือยื่นคาง อาจตรวจพบเสียง “คลิก” ขณะมีการเคลื่อนที่ของขากรรไกร บางครั้งอาจดังมากเป็นเสียง “เป๊าะ” เหมือนหักไม้ เสียงนี้อาจเกิดจากรูปร่างของปุ่มกระดูกหรือหัวข้อต่อผิดปกติหรือขรุขระ ในกรณีที่มีเสียงดังอย่างเดียว แต่ไม่มีอาการปวดก็ยังไม่ถึงต้องรับการรักษา ส่วนในกลุ่มสูงอายุ จะมีเสียงดังผิดปกติ โดยเป็นเสียงดังกรอบแกรบ หรือเสียงครูด คล้ายเสียงลากไม้ไปตามพื้นกรวด มักเกิดจากการเสื่อมสภาพของข้อต่อขากรรไกร มีการทำลายของเนื้อเยื่อ และเอ็นยึดภายใน และผิวกระดูกอ่อนภายในมีความขรุขระ
ลักษณะแนวการอ้าปากและหุบปากของคนปกติเป็นแบบ ภาพที่ 2A คือเป็นแนวเส้นตรง ส่วนในผู้ป่วย TMD อาจมีอาการเบี่ยงเบนของการอ้าปากได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
ผู้ที่มีนิสัยนอนกัดฟันหรือมีปัญหาเทมโพโรแมนดิบิวล่าร์ดิสออเดอร์ อาจจะมีอาการปวดบริเวณหน้า หูหรือข้อต่อขากรรไกร หรือกล้ามเนื้อบดเคี้ยว บริเวณแก้ม ขมับได้ดังนี้ท่านควรจะทราบวิธีดูแลตนเองเพื่อบรรเทาอาการที่เป็นอยู่ให้ลดลงได้ ดังนี้
หลีกเลี่ยงอาหารเหนียวและแข็ง เช่น ถั่วทอด กระยาสารท ปลาหมึกแห้ง หมากฝรั่ง ลูกอม รวมทั้งหลีกเลี่ยงการกัดผลไม้ทั้งผล เช่น ฝรั่ง แอปเปิล ควรรับประทานอาหารชิ้นเล็กๆ หรือทานข้าวต้ม, โจ๊ก
พยายามฝึกเคี้ยวอาหารทั้ง 2 ข้าง อาจเคี้ยวอาหารพร้อมๆกัน หรือสลับกับเคี้ยวไปมา ไม่ควรใช้ฟันข้างใดข้างหนึ่งเคี้ยวอาหารเป็นประจำ ควรใช้ฟันหลังเคี้ยวอาหารไม่ควรยื่นคางออกมาเคี้ยว หรือใช้ฟันหน้าเคี้ยวอาหาร
เบื้องต้นใช้ผ้าขนหนูเล็กชุบน้ำนำเข้าเครื่องไมโครเวฟประมาณ 1 นาที หรือจนกว่าผ้าจะอุ่น และเพื่อให้เกิดความร้อนได้นานขึ้น ควรใช้ความร้อนแบบชื้น ก่อนประคบครั้งละ 10-20 นาที โดยทำวันละ 3-4 ครั้ง บางคนอาจรู้สึกดีขึ้นหากใช้ประคบร้อนสลับเย็นก็ได้ การประคบนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดการใช้ยาแก้ปวดได้
เช่น การกัดเน้นฟัน การนอนกัดฟัน การกัดแก้มหรือริมฝีปากเล่น การนั่งเท้าคาง การรับโทรศัพท์โดยใช้ไหล่หนีบหู สิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นเวลาที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้นลองสังเกตตนเวลาทำงานหรือออกกำลังกายว่ามีนิสัยดังกล่าวหรือไม่ หากมีให้หลีกเลี่ยง ส่วนการนอนกัดฟันอาจเลี่ยงได้ยาก ควรปรึกษาทันตแพทย์
ตำแหน่งของขากรรไกรล่างที่เหมาะสมและสบายเป็นตำแหน่งที่ลิ้นยกตัวขึ้นไปอยู่หลังฟันหน้าบน ฟันต้องไม่สบกัน กล้ามเนื้อขากรรไกรผ่อนคลาย ดังนี้ในระหว่างวัน ลองสังเกตว่าขากรรไกรล่างของตนวางตัวในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือไม่
6. นอนหลับให้เพียงพอ
นอนหลับให้สนิทอย่างเพียงพอ ควรจัดห้องนอนให้เป็นที่พักผ่อนจริงๆ อย่าใช้แสงจ้าเกินไปหรืออย่าให้มีเสียงดัง รบกวนไม่นอนคว่ำหน้า
7. หลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือการอ้าปากกว้างเกินไป
การอ้าปากกว้างในขณะที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อขากรรไกรอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น เช่น การอ้าปากหาว หรือการอ้าปากทำฟันนานๆ เป็นต้น จึงควรฝึกหาวโดยการผ่อนลม คือให้ปลายลิ้นแตะบริเวณเพดานตลอดเวลาที่อ้าปากหาว แล้วค่อยๆผ่อนลมออกมา
ถ้าท่านต้องรับการรักษาทางทันตกรรมอื่น เช่น อุดฟัน ขูดหินปูน ท่านควรบอกทันตแพทย์ที่ให้การรักษาทราบเกี่ยวกับปัญหาขากรรไกรของท่านล่วงหน้า
กิจกรรมหรือท่าทางบางอย่างที่ทำให้ขากรรไกรได้รับแรงไม่เท่ากันได้แก่ การนอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่ง, การนั่งเท้าคาง, การนอนคว่ำอ่านหนังสือ การตะโกนหรือร้องเพลงดัง ควรหลีกเลี่ยงเสีย เพราะจะทำให้อาการปวดเพิ่มขึ้น
8. ใช้ยาแก้ปวดและยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
คุณสามารถทานยาแก้ปวดทั่วไป เช่น พาราเซตามอล แอสไพริน หรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เพื่อลดอาการปวดกล้ามเนื้อ หรือข้อต่อขากรรไกรได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ด้วย
9. สังเกตเหตุการณ์เสี่ยงที่คอยกระตุ้นอาการปวด
ควรบันทึกอาการปวดประจำวันพร้อมกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการปวดมากขึ้นและพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมหรือเหตุการณ์นั้น ๆ
10. รู้วิธีบริหารขากรรไกร
การบริหารขากรรไกรช้าและนุ่มนวลอาจช่วยให้ขากรรไกรเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ความต้องการและลักษณะการบริหารขากรรไกรจะแตกต่างกันในแต่ละคน ควรปรึกษาทันตแพทย์/นักกายภาพบำบัด
การหายใจลึกและช้าจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายได้ดีขึ้น ลองหาเทคนิคที่ช่วยให้ตนเองผ่อนคลายมากขึ้น เช่น การฟังเพลงเบาสบาย คิดในแง่ดี ก็สามารถปรับเข้ากับความปวดได้ดีขึ้น
การดูแลตนเองที่ถูกวิธีจะช่วยบรรเทาอาการลงได้บ้าง ถ้าอาการยังไม่ปกติ ควรนัดตรวจกับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบบดเคี้ยวต่อไป
แก้ไข
13/09/2566
โรงพยาบาลรามคำแหง
436 ถ. รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
1512, 02-743-9999
แฟกซ์ 0 2374 0804
support@ram-hosp.co.th