เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้
เราใช้ Cookies เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีที่สุด สรุปนโยบายความเป็นส่วนตัวและ Cookies อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Policy)
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
โรงพยาบาลรามคำแหง (“โรงพยาบาล”) ได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ที่ท่านให้โรงพยาบาลใน ระหว่างการร้องขอการบริการ การเยี่ยมชมเว็บไซต์
หรือใช้แอพพลิเคชั่นของหรือจากโรงพยาบาล นโยบาย คุ้มครองข้อมูลส่วน
บุคคลนี้รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวคุณโดยเป็นการส่งต่อมาจากบุคคลที่สาม
ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง “ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือ ทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ”
การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
1. โรงพยาบาลเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของ ท่าน ที่สามารถระบุตัวตนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อประโยชน์ต่อท่านในระยะเวลาที่เหมาะสมจำเป็นต่อการให้บริการ ในกรณีที่ท่านเป็นผู้ให้ข้อมูล กับโรงพยาบาล หรือร้องขอการบริการจากโรงพยาบาลผ่านช่องทางเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่นหรือ ช่องทางอื่นใดของโรงพยาบาล อาทิเช่น การนัดหมายแพทย์ การทำธุรกรรมแบบออนไลน์ การสมัครรับจดหมายข่าว การขอรับความช่วยเหลือพิเศษ รวมไปถึงการทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ เช่น การลงทะเบียนผู้ป่วยที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนของโรงพยาบาล หรือจากความสมัครใจ ของท่านใน การทำแบบสอบถาม (Survey) หรือการโต้ตอบทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) หรือการกรอก ให้ข้อมูลประกอบการสมัครงาน หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ระหว่างโรงพยาบาล และท่าน
2. โรงพยาบาลอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลที่สาม เช่นธุรกิจในเครือข่าย ตัวแทน จำหน่าย หรือผู้ให้บริการของโรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ
ข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวมจากท่านจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของการเก็บรวบรวม และประเภทของการบริการที่ท่านร้องขอจากโรงพยาบาล ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูกนำมาใช้เพื่อให้การทำธุรกรรมออนไลน์หรือออฟไลน์ หรือบริการที่ได้รับการร้องขอเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาล เก็บรวบรวมโดยตรงจากท่าน หรือจากบุคคลที่สาม มีดังนี้
1) ข้อมูลระบุตัวตน เช่น ชื่อ ภาพถ่าย เพศ วัน เดือน ปีเกิด หนังสือเดินทาง หมายเลขบัตรประชาชน หรือหมายเลขที่สามารถระบุตัวตนอื่นๆ
2) ข้อมูลสำหรับการติดต่อ เช่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลล์
3) ข้อมูลการชำระเงิน เช่น ข้อมูลการเรียกเก็บเงิน ข้อมูลบัตรเครดิตหรือเดบิต และ รายละเอียดบัญชี ธนาคาร
4) ข้อมูลการเข้ารับบริการ เช่น ข้อมูลการนัดหมายแพทย์ ข้อมูลส่วนบุคคลของญาติ ความต้องการ เกี่ยวกับห้องพัก อาหาร และบริการเสริมอื่นๆ
5) ข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาด เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อร่วมกิจกรรมกับเรา
6) ข้อมูลสถิติ เช่น จำนวนผู้ป่วย และการเข้าชมเว็บไซต์
7) ข้อมูลจากการเข้าใช้เว็บไซต์ของโรงพยาบาล
8) ข้อมูลด้านสุขภาพ รายงานที่เกี่ยวกับสุขภาพกาย และสุขภาพจิต การดูแลสุขภาพของท่าน ผลการทดสอบจากห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ และการวินิจฉัย
9) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาและการแพ้ยาของท่าน
10) ข้อมูล Feedback และผลการรักษาที่ท่านให้ไว้
เราจะไม่เก็บและใช้ข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนของคุณ เช่น เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา ประวัติอาชญากร เว้นแต่เป็นไปตามที่ข้อบังคับและกฎหมายกำหนด หรือโดยความยินยอมของท่าน
การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1) จัดหาบริการ หรือส่งมอบบริการของโรงพยาบาล
2) นัดหมายแพทย์ ส่งข่าวสาร แนะนำบริการของโรงพยาบาล
3) การประสานงานและส่งต่อข้อมูลซึ่งจะช่วยให้การส่งต่อผู้ป่วยมีความรวดเร็วขึ้น
4) การยืนยันตัวตนของผู้ป่วย
5) ส่งข้อความแจ้งเตือนการนัดหมายแพทย์ หรือการเสนอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาล
6) อำนวยความสะดวกและนำเสนอรายการสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ท่าน
7) จุดประสงค์ด้านการตลาด การส่งเสริมการขาย และการลูกค้าสัมพันธ์ เช่น การส่งข้อมูลเกี่ยวกับ โปรโมชั่น ผลิตภัณฑ์และบริการ รายการส่งเสริมการขาย และธุรกิจพันธมิตร
8) เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร ตอบค าถาม หรือตอบสนองข้อร้องเรียน
9) สำรวจความพึงพอใจของลูกค้า วิจัยตลาด วิเคราะห์ทางสถิติประมวลผลและแสดงผลเพื่อเป็น ข้อมูลในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ หรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ ให้แก่ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น
10) วัตถุประสงค์ทางบัญชีหรือทางการเงิน เช่นการตรวจสอบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต การเรียกเก็บเงินและการตรวจสอบความถูกต้อง การขอคืนเงิน
11) รักษาความปลอดภัย รวมถึงความปลอดภัยขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล
12) เพื่อวัตถุประสงค์ในการสมัครงาน การเป็นพนักงาน หรือวัตถุประสงค์อื่นใดที่เกี่ยวข้อง
13) ปฏิบัติตามกฎของโรงพยาบาล
14) ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกำหนด ระเบียบ ข้อบังคับ หรือการร้องขอใดๆจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น การปฏิบัติตามหมายเรียกพยาน หรือคำสั่งศาล หรือการร้องขออื่นๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
15) วัตถุประสงค์อื่นๆ ที่สนับสนุนการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ข้างต้น หรือที่ได้รับความยินยอมจาก ท่านเป็นครั้งคราว
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลอาจเปิดเผยหรือถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังบุคคลที่สาม ซึ่งอาจตั้งอยู่ภายในหรือ นอกราชอาณาจักร โดยโรงพยาบาลจะดำเนินตามมาตรการที่จำเป็นและเหมาะสม หรือเป็นไปตามข้อบังคับและ กฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ที่ตามระบุไว้ข้างต้น ให้แก่
1) พันธมิตรทางธุรกิจ เช่น บริษัทประกัน พันธมิตรที่เข้าร่วมรายการโปรแกรมสะสมคะแนน และสิทธิ ประโยชน์และศูนย์การแพทย์ และหรือบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการให้บริการ
2) ธนาคาร และผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิต หรือเดบิต
3) เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงและความปลอดภัย
4) หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานศุลกากร
5) หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และหน่วยงานอื่นๆ ตามที่กฎหมายอนุญาต หรือกำหนดไว้
การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบนมือถือของโรงพยาบาล อาจมีลิงก์เชื่อมไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม หากท่านไปตาม ลิงก์เหล่านี้ นโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ไม่มีผลกับเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม โปรดทราบว่าโรงพยาบาลไม่ สามารถรับผิดชอบใดๆ ต่อการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยบุคคลที่สามดังกล่าว เนื่องจากอยู่นอกการ ควบคุมของโรงพยาบาล
การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล และความปลอดภัย
1. ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูก เก็บรักษาไว้นานเท่าที่จำเป็น เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ตามที่อธิบาย ไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ หรือภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย หรือเพื่อการดำเนินการทาง กฎหมาย
2. โรงพยาบาลจะใช้มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการบริหารจัดการที่เหมาะสมเพื่อ ป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
1. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม (right to withdraw consent) : ท่านมีสิทธิในการเพิกถอนความ ยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมกับโรงพยาบาลได้ ตลอดระยะเวลาที่ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับโรงพยาบาล
2. สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (right of access) : ท่านมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและ ขอให้โรงพยาบาลทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้โรงพยาบาลเปิดเผยการได้มาซึ่ง ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมต่อโรงพยาบาลได้
3. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง (right to rectification) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาล แก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือเพิ่มเติมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์
4. สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล (right to erasure) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาลท าการลบข้อมูล ของท่านด้วยเหตุบางประการได้
5. สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล (right to restriction of processing) : ท่านมีสิทธิในการระงับการ ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
6. สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล (right to data portability) : ท่านมีสิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วน บุคคลของท่านที่ท่านให้ไว้กับโรงพยาบาลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลรายอื่น หรือตัวท่านเองด้วยเหตุบางประการได้
7. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (right to object) : ท่านมีสิทธิในการคัดค้านการ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
ท่านสามารถร้องขอการเข้าถึงหรือขอให้อัพเดตและแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน รวมถึงสิทธิอื่นใดข้างต้น หรือสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ใช้บังคับ เช่น ขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือขอให้ระงับการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน กรณีเห็นว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกนำไปใช้เกิน ขอบเขตวัตถุประสงค์การใช้งานที่แจ้งให้ทราบข้างต้น หรือไม่ได้รับความยินยอมจากท่าน
การเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะทำการพิจารณาทบทวนนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติ กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโรงพยาบาลจะแจ้ง ให้ท่านทราบด้วยการ อัพเดตข้อมูลลงในเว็บไซต์ของโรงพยาบาล https://www.ram-hosp.co.th/contactus โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้หากท่านมีคำถาม ข้อเสนอแนะ และข้อร้องเรียนเกี่ยวกับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโปรดติดต่อได้ที่อีเมลล์ support@ram-hosp.co.th
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 01 มิถุนายน 2565
(นพ.พิชญ สมบูรณสิน)
กรรมการบริหาร
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
อย่ามองข้ามภัยร้าย “ไทรอยด์เป็นพิษ”
มีสิทธิ์บานปลายกลายเป็น “เรื่องใหญ่”
เวลาส่องกระจกแล้วเห็นอะไรบางอย่างผิดปกติแบบว่าเห็นได้ชัดแต่คิดยังไงก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าเหตุไฉน “คอ” ของเราจึง โตผิดหูผิดตา!! ก็เอาเป็นว่า อย่าเพิ่งตกอกตกใจ แต่ไม่ได้แปลว่าวางใจไม่ให้ความสำคัญโดยเด็ดขาด เพราะนั่นหมายถึงสัญญาณบ่งบอกให้ผู้เป็นเจ้าของคอรีบไปตรวจร่างกายและตรวจเช็คให้แน่ใจว่า “ต่อมไทรอยด์” กำลังมีปัญหาอย่างไรหรือไม่ และหากมีก็ควรรีบรักษาก่อนที่เกิดการลุกลามบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ให้ต้องเดือดเนื้อร้อนใจเพิ่มขึ้นอีก
แม้ว่าจะไม่มีความผิดปกติในเรื่องอื่น ๆ ปรากฎให้เห็นอีกทั้งก็ยังกินได้-สบายดี แต่น้ำหนักกลับลด ซึ่งนั่นคือสัญญาณบ่งชี้ ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ๆ “โรคไทรอยด์เป็นพิษ” ที่จะออกฤทธิ์ทำให้ “คอโต” แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“บริเวณลำคอด้านหน้าหลอดลมจะมีต่อมไทรอยด์ซึ่งเคลื่อนตัวขึ้นลงได้ตามจังหวะที่เรากลืนน้ำลาย แต่หากต่อมนี้บวมโตขึ้นจะทำให้ขนาดคอใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดก็ต้องไปพบแพทย์เพราะผิดสังเกตจากคอบวมนี่เอง”
เมื่อไปพึ่งพาหาหมอก็แน่นอนว่าได้รับการตรวจหาสาเหตุที่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ “ต่อมไทรอยด์” จึงทำให้มันบวมโตขึ้นจนเห็นได้ชัดว่า “คอโต” อย่างนั้นเป็นเพราะ มีฮอร์โมนระดับสูงอยู่ในกระแสเลือดอันเป็นที่มาของ “โรคไทรอยด์เป็นพิษ”
สาเหตุที่ทำให้ฮอร์โมนสูงเกิน
กลุ่มคนที่เป็นไทรอยด์เป็นพิษ ส่วนใหญ่มักจะมาจากหลายกรณี
กรณีแรกคือน้ำหนักลด ทั้ง ๆ ที่กินได้ สบายดี แต่น้ำหนักลด แม้จะกินเก่ง-หิวบ่อย แต่ยิ่งกินน้ำหนักยิ่งลด
กรณีที่สองที่พบได้เช่นกันคือ มาด้วยอาการคอโต
อีกกรณีคือ มาด้วยอาการทั่วไปจากอาการหงุดหงิด มือสั่น ใจสั่น เหงื่อออกง่าย โดยบางคนจะมีผมร่วง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ขณะที่บางคนมาด้วยเรื่องประจำเดือนขาด-มาน้อย และเมื่อมาหาหมอแล้วก่อนอื่นก็จะตรวจสัญญาณชีพ ดูว่าชีพจรเต้นเร็วหรือไม่ จากนั้นจะดูน้ำหนักตัวโดยเทียบกับประวัติเก่าว่ามีน้ำหนักลดจากเดิมหรือไม่ มีอาการอื่น ๆ เช่นคอโตหรือไม่ และในบางรายอาจมีการแสดงออกทางตา เช่น ตาโปน หรือมีหนังตาบวมตึง ซึ่งพวกนี้จะช่วยบอกได้ และบางคนมีปัญหาขาอ่อนแรงเดินขึ้นบันไดไม่ไหว
วิธีตรวจที่จะช่วยให้ทราบได้ว่ากำลังก้าวเข้าสู่ “กลุ่มเสี่ยงไทรอยด์เป็นพิษ”
เรื่องนี้ไม่ยาก เพราะสามารถใช้วิธีเจาะเลือดมาตรวจดูค่าฮอร์โมนในเลือดว่าสูงหรือไม่ ถ้าสูงก็ยืนยันได้ว่าไทรอยด์เป็นพิษ การตรวจแบบอื่นที่จะช่วยยืนยันก็คือการตรวจที่เขาเรียกว่าตรวจโดยการกลืนน้ำแร่ไอโอดีน เพื่อวัดปริมาณการทำงานของต่อมไทรอยด์ ถ้าสูงผิดปกติก็จะเข้าสู่กลุ่มไทรอยด์เป็นพิษได้ ซึ่งหากมีผลตรวจยืนยันว่าไทรอยด์เป็นพิษแน่ ๆ ก็สามารถเข่าสู่กระบวนการบำบัดรักษาซึ่งมีด้วยกันหลายแบบซึ่งส่วนใหญ่ก็สามารถควบคุมโรคให้สงบลงได้ แต่ถ้าคนไข้ที่เป็นตั้งแต่อายุยังน้อยก็มีโอกาสที่โรคจะสงบแล้วกลับมาใหม่ได้ เพราะฉะนั้นการรักษาบางคนก็หายไปนาน แต่บางคนก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำใหม่ได้
วิธีรักษาไทรอยด์เป็นพิษ
การรักษาไทรอยด์เป็นพิษ ส่วนใหญ่มีด้วยกัน 3 วิธี คือ
สำหรับกรณีที่ผู้ป่วยโรคไทรอยด์เป็นพิษ อาจมีโอกาสเจอโรคแทรกซ้อนจากไทรอยด์เป็นพิษ พ่วงมาอีกต่างหากซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวังให้มาก ผู้ป่วยจะเป็นโรคนี้ร่วมกับโรคหัวใจ ถ้าสมมติว่ามีโรคหัวใจกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจโต และหากเราควบคุมไทรอยด์ไม่ได้ก็จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ตัวหัวใจคือทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น โอกาสที่จะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดก็จะเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ส่วนใหญ่แล้วสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้หมอจะพิจารณาว่าปรับยากินไทรอยด์จนควบคุมได้ในระดับหนึ่งก่อนส่งไปรักษาด้วยการกินน้ำแร่ไอโอดีน เพื่อทำลายไทรอยด์ให้ทำงานลดลงหรือบางครั้งอาจจะยอมให้ไทรอยด์ทำงานต่ำไปเลยโดยกินเป็นฮอร์โมนทดแทนซึ่งจะปลอดภัยกว่า เพราะถ้าเราปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาไทรอยด์เป็นพิษละก็ อย่างแรกที่จะเจอคืออาการที่ตามมา ได้แก่ น้ำหนักจะลดลงมากขึ้น มีอาการเหนื่อยมากขึ้น และเวลาที่ผู้ป่วยเหนื่อยมาก ๆ ไทรอยด์จะเป็นตัวกระตุ้นให้หัวใจทำงานเร็วขึ้น เมื่อหัวใจทำงานเร็วมาก ๆ จะมีโอกาสเต้นผิดจังหวะซึ่งก่อให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจขึ้นมาและเมื่อหัวใจบีบเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายก็มีโอกาสที่ลิ่มเลือดนี้จะหลุดไปอุดปลายทางจนเกิดภาวะขาดเลือดที่ปลายทางส่วนนั้น ซึ่งจริง ๆ แล้วเรื่องนี้เป็นภาวะแทรกซ้อนของตัวไทรอยด์ที่ต้องระวัง เพราะเหตุนี้จึงต้องขอฝากคำเตือนไว้ด้วยว่า หากมีเวลาควรตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจเช็คไทรอยด์กันไว้สักหน่อยเพื่อความไม่ประมาท โดยเฉพาะใครที่มีคอโตอย่าวางใจเด็ดขาดควรไปตรวจให้ทราบและรักษาก่อนที่มันจะลุกลามบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ในวันข้างหน้านั่นเอง
แพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ
แก้ไข
07/08/2566
โรงพยาบาลรามคำแหง
436 ถ. รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
1512, 02-743-9999
แฟกซ์ 0 2374 0804
support@ram-hosp.co.th