เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้
เราใช้ Cookies เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีที่สุด สรุปนโยบายความเป็นส่วนตัวและ Cookies อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Policy)
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
โรงพยาบาลรามคำแหง (“โรงพยาบาล”) ได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ที่ท่านให้โรงพยาบาลใน ระหว่างการร้องขอการบริการ การเยี่ยมชมเว็บไซต์
หรือใช้แอพพลิเคชั่นของหรือจากโรงพยาบาล นโยบาย คุ้มครองข้อมูลส่วน
บุคคลนี้รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวคุณโดยเป็นการส่งต่อมาจากบุคคลที่สาม
ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง “ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือ ทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ”
การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
1. โรงพยาบาลเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของ ท่าน ที่สามารถระบุตัวตนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อประโยชน์ต่อท่านในระยะเวลาที่เหมาะสมจำเป็นต่อการให้บริการ ในกรณีที่ท่านเป็นผู้ให้ข้อมูล กับโรงพยาบาล หรือร้องขอการบริการจากโรงพยาบาลผ่านช่องทางเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่นหรือ ช่องทางอื่นใดของโรงพยาบาล อาทิเช่น การนัดหมายแพทย์ การทำธุรกรรมแบบออนไลน์ การสมัครรับจดหมายข่าว การขอรับความช่วยเหลือพิเศษ รวมไปถึงการทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ เช่น การลงทะเบียนผู้ป่วยที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนของโรงพยาบาล หรือจากความสมัครใจ ของท่านใน การทำแบบสอบถาม (Survey) หรือการโต้ตอบทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) หรือการกรอก ให้ข้อมูลประกอบการสมัครงาน หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ระหว่างโรงพยาบาล และท่าน
2. โรงพยาบาลอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลที่สาม เช่นธุรกิจในเครือข่าย ตัวแทน จำหน่าย หรือผู้ให้บริการของโรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ
ข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวมจากท่านจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของการเก็บรวบรวม และประเภทของการบริการที่ท่านร้องขอจากโรงพยาบาล ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูกนำมาใช้เพื่อให้การทำธุรกรรมออนไลน์หรือออฟไลน์ หรือบริการที่ได้รับการร้องขอเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงพยาบาล เก็บรวบรวมโดยตรงจากท่าน หรือจากบุคคลที่สาม มีดังนี้
1) ข้อมูลระบุตัวตน เช่น ชื่อ ภาพถ่าย เพศ วัน เดือน ปีเกิด หนังสือเดินทาง หมายเลขบัตรประชาชน หรือหมายเลขที่สามารถระบุตัวตนอื่นๆ
2) ข้อมูลสำหรับการติดต่อ เช่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลล์
3) ข้อมูลการชำระเงิน เช่น ข้อมูลการเรียกเก็บเงิน ข้อมูลบัตรเครดิตหรือเดบิต และ รายละเอียดบัญชี ธนาคาร
4) ข้อมูลการเข้ารับบริการ เช่น ข้อมูลการนัดหมายแพทย์ ข้อมูลส่วนบุคคลของญาติ ความต้องการ เกี่ยวกับห้องพัก อาหาร และบริการเสริมอื่นๆ
5) ข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาด เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อร่วมกิจกรรมกับเรา
6) ข้อมูลสถิติ เช่น จำนวนผู้ป่วย และการเข้าชมเว็บไซต์
7) ข้อมูลจากการเข้าใช้เว็บไซต์ของโรงพยาบาล
8) ข้อมูลด้านสุขภาพ รายงานที่เกี่ยวกับสุขภาพกาย และสุขภาพจิต การดูแลสุขภาพของท่าน ผลการทดสอบจากห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ และการวินิจฉัย
9) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาและการแพ้ยาของท่าน
10) ข้อมูล Feedback และผลการรักษาที่ท่านให้ไว้
เราจะไม่เก็บและใช้ข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนของคุณ เช่น เชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา ประวัติอาชญากร เว้นแต่เป็นไปตามที่ข้อบังคับและกฎหมายกำหนด หรือโดยความยินยอมของท่าน
การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1) จัดหาบริการ หรือส่งมอบบริการของโรงพยาบาล
2) นัดหมายแพทย์ ส่งข่าวสาร แนะนำบริการของโรงพยาบาล
3) การประสานงานและส่งต่อข้อมูลซึ่งจะช่วยให้การส่งต่อผู้ป่วยมีความรวดเร็วขึ้น
4) การยืนยันตัวตนของผู้ป่วย
5) ส่งข้อความแจ้งเตือนการนัดหมายแพทย์ หรือการเสนอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาล
6) อำนวยความสะดวกและนำเสนอรายการสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ท่าน
7) จุดประสงค์ด้านการตลาด การส่งเสริมการขาย และการลูกค้าสัมพันธ์ เช่น การส่งข้อมูลเกี่ยวกับ โปรโมชั่น ผลิตภัณฑ์และบริการ รายการส่งเสริมการขาย และธุรกิจพันธมิตร
8) เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร ตอบค าถาม หรือตอบสนองข้อร้องเรียน
9) สำรวจความพึงพอใจของลูกค้า วิจัยตลาด วิเคราะห์ทางสถิติประมวลผลและแสดงผลเพื่อเป็น ข้อมูลในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ หรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ ให้แก่ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น
10) วัตถุประสงค์ทางบัญชีหรือทางการเงิน เช่นการตรวจสอบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต การเรียกเก็บเงินและการตรวจสอบความถูกต้อง การขอคืนเงิน
11) รักษาความปลอดภัย รวมถึงความปลอดภัยขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล
12) เพื่อวัตถุประสงค์ในการสมัครงาน การเป็นพนักงาน หรือวัตถุประสงค์อื่นใดที่เกี่ยวข้อง
13) ปฏิบัติตามกฎของโรงพยาบาล
14) ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกำหนด ระเบียบ ข้อบังคับ หรือการร้องขอใดๆจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น การปฏิบัติตามหมายเรียกพยาน หรือคำสั่งศาล หรือการร้องขออื่นๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
15) วัตถุประสงค์อื่นๆ ที่สนับสนุนการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ข้างต้น หรือที่ได้รับความยินยอมจาก ท่านเป็นครั้งคราว
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลอาจเปิดเผยหรือถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังบุคคลที่สาม ซึ่งอาจตั้งอยู่ภายในหรือ นอกราชอาณาจักร โดยโรงพยาบาลจะดำเนินตามมาตรการที่จำเป็นและเหมาะสม หรือเป็นไปตามข้อบังคับและ กฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ที่ตามระบุไว้ข้างต้น ให้แก่
1) พันธมิตรทางธุรกิจ เช่น บริษัทประกัน พันธมิตรที่เข้าร่วมรายการโปรแกรมสะสมคะแนน และสิทธิ ประโยชน์และศูนย์การแพทย์ และหรือบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการให้บริการ
2) ธนาคาร และผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิต หรือเดบิต
3) เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงและความปลอดภัย
4) หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานศุลกากร
5) หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และหน่วยงานอื่นๆ ตามที่กฎหมายอนุญาต หรือกำหนดไว้
การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบนมือถือของโรงพยาบาล อาจมีลิงก์เชื่อมไปยังเว็บไซต์บุคคลที่สาม หากท่านไปตาม ลิงก์เหล่านี้ นโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ไม่มีผลกับเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม โปรดทราบว่าโรงพยาบาลไม่ สามารถรับผิดชอบใดๆ ต่อการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยบุคคลที่สามดังกล่าว เนื่องจากอยู่นอกการ ควบคุมของโรงพยาบาล
การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล และความปลอดภัย
1. ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูก เก็บรักษาไว้นานเท่าที่จำเป็น เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ตามที่อธิบาย ไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ หรือภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย หรือเพื่อการดำเนินการทาง กฎหมาย
2. โรงพยาบาลจะใช้มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการบริหารจัดการที่เหมาะสมเพื่อ ป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่โรงพยาบาลเก็บรวบรวม
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
1. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม (right to withdraw consent) : ท่านมีสิทธิในการเพิกถอนความ ยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมกับโรงพยาบาลได้ ตลอดระยะเวลาที่ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับโรงพยาบาล
2. สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (right of access) : ท่านมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและ ขอให้โรงพยาบาลทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้โรงพยาบาลเปิดเผยการได้มาซึ่ง ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมต่อโรงพยาบาลได้
3. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง (right to rectification) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาล แก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือเพิ่มเติมข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์
4. สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล (right to erasure) : ท่านมีสิทธิในการขอให้โรงพยาบาลท าการลบข้อมูล ของท่านด้วยเหตุบางประการได้
5. สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล (right to restriction of processing) : ท่านมีสิทธิในการระงับการ ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
6. สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล (right to data portability) : ท่านมีสิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วน บุคคลของท่านที่ท่านให้ไว้กับโรงพยาบาลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลรายอื่น หรือตัวท่านเองด้วยเหตุบางประการได้
7. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (right to object) : ท่านมีสิทธิในการคัดค้านการ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยเหตุบางประการได้
ท่านสามารถร้องขอการเข้าถึงหรือขอให้อัพเดตและแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน รวมถึงสิทธิอื่นใดข้างต้น หรือสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ใช้บังคับ เช่น ขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือขอให้ระงับการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน กรณีเห็นว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกนำไปใช้เกิน ขอบเขตวัตถุประสงค์การใช้งานที่แจ้งให้ทราบข้างต้น หรือไม่ได้รับความยินยอมจากท่าน
การเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
โรงพยาบาลจะทำการพิจารณาทบทวนนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติ กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโรงพยาบาลจะแจ้ง ให้ท่านทราบด้วยการ อัพเดตข้อมูลลงในเว็บไซต์ของโรงพยาบาล https://www.ram-hosp.co.th/contactus โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้หากท่านมีคำถาม ข้อเสนอแนะ และข้อร้องเรียนเกี่ยวกับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโปรดติดต่อได้ที่อีเมลล์ support@ram-hosp.co.th
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 01 มิถุนายน 2565
(นพ.พิชญ สมบูรณสิน)
กรรมการบริหาร
บริษัท โรงพยาบาลรามคําแหง จํากัด (มหาชน)
“โรคมือ เท้า ปาก” หมอแนะให้ฉีดวัคซีนป้องกัน
โรคมือ เท้า ปาก เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัส 2 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่ ‘Coxsackievirus A6 & A16’ และ ‘Enterovirus A71’ หรือเรียกชื่อย่อว่า ‘EV-A71’ ซึ่งจะทำให้เด็กเล็กป่วยและอาจเป็นอันตรายด้วยโรคที่เรียกว่า “โรคมือ เท้า ปาก” เริ่มด้วยการเป็นไข้หลังจากผ่านระยะฟักตัวไปแล้ว 2-3 วัน พบมากในเด็กเล็กตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ขวบ สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัส 2 ชนิดที่ว่านี้ต่อไปดังนี้
อาการของโรคมือ เท้า ปาก
“...อาการครั้งแรกก็มักจะมาด้วยเรื่องไข้ แล้วตามมาด้วยการกินอาหารไม่ได้ พ่อ-แม่ผู้ปกครองก็มักบอกว่าเด็กกินได้น้อยลง ไข้สูง มีน้ำลายไหล ตรวจร่างกายพบแผลบริเวณกระพุงแก้ม เพดานปาก โดยที่แผลส่วนมากอยู่ข้างในลึก ๆ ในปากนะ ส่วนมากอยู่ที่บริเวณเพดานอ่อน โดยจะเห็นได้ว่าฝ่ามือ ฝ่าเท้ามีผื่นเป็นจุดแดงหรือตุ่มน้ำใส ทั้งยังอาจพบผื่นที่บริเวณก้น อวัยวะเพศ แขนและขาได้ คือจะมีอาการประมาณ 2-3 วันแล้วก็ดีขึ้นจนหายภายใน 1 สัปดาห์ โดยเด็กที่มีวัยเกิน 5 ขวบไปแล้วส่วนมากจะเริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสนี้จึงมีโอกาสเจอโรคนี้น้อยลง แต่ว่าผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยเป็น ไม่เคยมีภูมิก็มีสิทธิ์เป็นได้ เช่นเดียวกับในเด็กโตที่ยังไม่เคยมีภูมิแต่จะมีค่อนข้างน้อย...”
การแพร่ระบาดของโรคมือเท้าปาก
“การแพร่ระบาดของโรค เกิดขึ้นได้ด้วยการสัมผัสโดยตรงจากน้ำมูก น้ำลาย ของคนที่เป็นโรคมือ เท้า ปาก หรือว่าอุจจาระ อุจจาระเนี่ยจะเจอเชื้อเยอะมาก หรือว่าสัมผัสพวกสารคัดหลั่งที่มาจากตุ่มน้ำ ตุ่มน้ำที่ตามผื่นที่ตัวก็จะสามารถแพร่เชื้อได้ โดยสารคัดหลั่งต่าง ๆ จากคนที่เป็นโรคมือเท้าปากสามารถแพร่เชื้อได้นานมาก บางรายก็ตรวจเจอเชื้อได้นานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนก็มี เพราะฉะนั้นถึงแม้จะหายจากโรคแล้วก็ยังจะแพร่เชื้อต่อได้ ส่วนการติดต่อทางอ้อมก็อาจมาเกิดจากการสัมผัสข้าวของ เช่น เด็กที่ป่วยไปจับของเล่นนู่น นี่ นั่น แล้วก็เอาเชื้อโรคไปติดที่ของเล่น เมื่อมีเด็กคนอื่น ๆ ไปจับต่อก็จะทำให้ติดโรคได้ หรือมิฉะนั้นมันก็จะอยู่ในน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค จึงมักจะเจอในเด็กเล็กได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามสถานรับเลี้ยงเด็กต่าง ๆ โดยเฉพาะเนิร์สเซอร์รี่ที่มีการเปลี่ยนผ้าอ้อมโดยผู้ดูแลไม่ได้รักษาความสะอาดอย่างถูกต้องก็จะทำให้เชื้อที่อยู่ในอุจจาระหรือว่าในสารคัดหลั่งต่าง ๆ แพร่กระจายติดต่อไปได้ หรืออย่างในสนามเด็กเล่นที่เด็กไปกันมาก ๆ แบบบ้านบอล มีลูกบอลเยอะ ๆ จึงมีโอกาสติดต่อโรคนี้ได้มากเพราะไม่อาจทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึงก็จะทำให้เด็ก ๆ ที่ไปแล้วติดโรคนี้ได้ อย่างไรก็ตามเด็กที่ติดเชื้อนี้ส่วนมากจะหายได้เอง แต่ถ้าเป็นโรคมือ เท้า ปากที่เกิดจากเชื้อ ‘Enterovirus A71’ จะออกฤทธิ์ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงมากกว่าเชื้อตัวอื่น โดยภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่พบได้ก็จะมี “ก้านสมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หัวใจล้มเหลวเป็นอัมพาตเฉียบพลัน ซึ่งจะรุนแรงถึงเสียชีวิตได้” ทั้งนี้ อาการแทรกซ้อนที่บ่งชี้อันตรายและสังเกตได้จากการที่เด็กป่วยจะมีอาการซึม อ่อนแรง ชักกระตุก มือสั่น เดินเซ หอบ อาเจียน ซึ่งขอแนะไว้เลยว่าให้รีบพาไปหาหมอโดยไม่รอช้าเป็นดีที่สุด
“...ปัจจุบันยังไม่มียารักษาเฉพาะ ยาต้านไวรัสก็ไม่มี ส่วนมากจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เช่น ถ้ามีไข้ก็กินยาลดไข้ ในรายที่กินไม่ได้ก็อาจจะให้เป็นสารน้ำ หรือว่าถ้ายังพอกินได้บ้างก็อาจจะแนะนำให้กินเป็นอาหารอ่อน ๆ กินง่าย ๆ ของเย็น ๆ ที่กินแล้วไม่เจ็บปาก หลัก ๆ ก็รักษาประคับประคองอาการ ให้กินน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้เพียงพออาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น...
วิธีป้องกันโรคมือ เท้า ปาก
"...สามารถทำได้โดยป้องกันการสัมผัสสิ่งปนเปื้อนของผู้ป่วย และดูแลสุขอนามัยเด็กเล็กอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเชื้อไวรัสตัวนี้ไม่สามารถฆ่าตายได้ด้วยแอลกอฮอล์ 70% ที่เราใช้ล้างมือกันเป็นประจำ หากจะต้องการกำจัดเชื้อโรคตัวนี้ก็ต้องล้างด้วยน้ำกับสบู่ จึงควรต้องเน้นย้ำโดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ เวลาไปโรงเรียน หรือที่บ้านเวลาจะเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กน้อยก็ขอให้ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อน รวมทั้งก่อน-หลังทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และไม่ใช้ของอื่น ๆ ร่วมกับใครที่จะต้องมีการสัมผัสร่วมกันเวลาเด็กมารวมตัวกันหลายคน ส่วนเรื่องของเล่นก็ต้องทำความสะอาดเป็นประจำด้วยน้ำกับสบู่ หรือไม่ก็ใช้ผงซักฟอกและพอเสร็จก็เช็ดเสร็จก็นำไปผึ่งให้แห้ง หากเด็กคนใดไม่สบายก็ควรต้องหยุดเรียน และหลีกเลี่ยงการไปที่ชุมชนที่เด็กรวมกันเยอะ ๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ...”
ยังมีอีกประเด็นก็คือ...ตอนนี้มีวัคซีนซึ่งสามารถฉีดป้องกันโรคมือเท้าปากที่เกิดจากเชื้อ Enterovirus 71 โดยเด็กตั้งแต่ 6 เดือน จนถึงก่อนอายุ 6 ปีสามารถมารับการฉีดป้องกันได้ด้วยการฉีด 2 เข็มโดยเว้นให้ห่างกัน 1 เดือน เป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย ช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคมือเท้าปากได้
อ่านข้อมูลของโรคมือ เท้า ปากเพิ่มเติม คลิก >> : โรคมือ เท้า ปาก
แก้ไข
20/09/2565
โรงพยาบาลรามคำแหง
436 ถ. รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
1512, 02-743-9999
แฟกซ์ 0 2374 0804
support@ram-hosp.co.th