โรคพาร์กินสัน อาการ สาเหตุ และวิธีสังเกต คนใกล้ตัว

December 17 / 2024

 

 

 

โรคพาร์กินสัน VS โรคการคั่งของน้ำในโพรงสมองชนิดความดันปกติ

 

 

  

โรคพาร์กินสันโรคพาร์กินสัน

 

นัดพบแพทย์คลิก

ผศ.นพ.ปรัชญา ศรีวานิชภูมิ

ประสาทวิทยา

 

 

     ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2564 นั้นประชากรผู้มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 9 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 13 ของประชากรทั้งหมดในประเทศ และยังมีแนวโน้มที่ตัวเลขประชากรกลุ่มดังกล่าวจะขยายขนาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โรคพาร์กินสันและโรคการคั่งของน้ำในโพรงสมองชนิดความดันปกติจัดเป็นความผิดปกติทางระบบประสาทที่พบได้ในผู้สูงอายุ

 

อรัมภบทของ 2 โรค

     โรคยิ่งชุกตามอายุที่เพิ่มขึ้น และทั้งสองโรคนี้ต่างก็มีสิ่งที่เหมือนและแตกต่างกัน ทว่า.. จุดไหนล่ะที่แตกต่าง ร่วมรู้โรคและหาแนวทางรักษาอาการของโรคดังกล่าว เพื่อให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลได้สำรวจอาการเบื้องต้นและเข้าพบแพทย์เพื่อรักษาอาการแต่เนิ่น

 

 

 

โรคพาร์กินสัน

 

 

โรคพาร์กินสันคืออะไร?

     โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) เป็นโรคจากความเสื่อมของระบบประสาท โดยเกิดขึ้นกับเซลล์ประสาทที่ผลิตสารสื่อประสาทโดปามีน (Dopamine) ที่อยู่บริเวณก้านสมองส่วนบน (Midbrain) ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมักแสดงอาการเคลื่อนไหวผิดปกติเป็นอาการหลัก ซึ่งต่างกับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการหลงลืมเป็นหลัก ปัจจุบันยังไม่พบปัจจัยหลักปัจจัยเดี่ยวที่ทำให้เกิดโรคพาร์กินสัน อย่างไรก็ตาม

 

 

สาเหตุของโรคพาร์กินสัน

จากการศึกษาพบว่าหากมีประวัติ 

  • เคยสัมผัสสารเคมีในภาคอุตสาหกรรมหรือภาคเกษตรกรรม เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช
  • มีประวัติการใช้สารเสพติด เช่น เฮโรอีน หรือ แอมเฟตามีน
  • เคยได้รับการกระทบกระแทกบริเวณศีรษะซ้ำเป็นเวลานาน
  • มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสันในหลายรุ่น

 

 

     หากพบอาการเหล่านี้ก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคพาร์กินสันได้ ซีึ่งโรคนั้นพบได้ประมาณร้อยละ 1 ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป

 

 

 

 

โรคพาร์กินสัน

 

 

 

ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะมีอาการและอาการแสดงอย่างไร?

อาการของโรคพาร์กินสันนั้นแบ่งออกเป็น

 

  • อาการความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว (Motor symptoms) 
  • อาการความผิดปกติที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว (Non-motor symptoms)

 

 

อาการความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว

จะประกอบไปด้วย 4 อาการหลักๆ ได้แก่

 

  • อาการสั่น (Tremor) สามารถเป็นที่มือ ขา หรือ คางและมักเกิดขึ้นขณะพักไม่ได้ใช้งานแขนขาด้านนั้น ๆ
  • อาการกล้ามเนื้อฝืดเกร็ง (Rigidity) โดยทั่วไปแพทย์มักตรวจพบ ซึ่งพบได้ตามแขน ขา คอ หรือลำตัว
  • อาการเคลื่อนไหวช้า (Bradykinesia) ผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวที่ช้าและความกว้างของการเคลื่อนไหวจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ เช่น การกำแบมือทำได้ช้าและเมื่อทำซ้ำ ๆ พบว่าจะแบมือได้กว้างน้อยลงกว่าเดิมเป็นต้น นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจจะมาพบแพทย์ด้วยว่าขณะเดินแกว่งแขนได้ลดลงอาการสั่น, กล้ามเนื้อฝืดเกร็ง และการเคลื่อนไหวช้านั้น ในช่วงแรกของโรคอาการดังกล่าวมักจะแสดงออกที่ร่างกายข้างใดข้างหนึ่งก่อน จากนั้นเมื่อการดำเนินโรคเป็นมากขึ้น อาการดังกล่าวจะกระจายข้ามไปยังร่างกายข้างตรงข้าม แต่จะยังคงมีความรุนแรงของอาการไม่เท่ากันโดยข้างที่เป็นจุดเริ่มต้นของอาการมักจะยังคงมีความรุนแรงที่มากกว่าข้างที่เป็นตามมาทีหลัง
  • การทรงตัวที่ไม่มั่นคง (Postural instability) ผู้ป่วยจะล้มง่ายกว่าปกติและมักพบว่าลำตัวและศีรษะค้อมไปด้านหน้า นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจแสดงอาการอื่น เช่น เขียนหนังสือตัวเล็กลง เดินเท้าชิดก้าวสั้น และซอยเท้าถี่ เดินศีรษะพุ่งไปด้านหน้า สีหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ หรือ พูดรัวๆ และเสียงเบา เป็นต้น

 

 

 

โรคพาร์กินสัน

 

 

อาการความผิดปกติที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว 

     โรคพาร์กินสันเกิดขึ้นได้ทั้งก่อนที่ผู้ป่วยจะมีอาการผิดปกติทางการเคลื่อนไหว หรือ ในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติทางการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นแล้วก็ได้ ซึ่งแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มอาการใหญ่ ได้แก่

 

  • ปัญหาด้านการนอน (Sleep disorders) ได้แก่ นอนกรน, นอนไม่หลับในช่วงกลางคืน, ง่วงนอนตอนกลางวัน หรือ นอนละเมอออกเสียงหรือท่าทาง เช่น ชกต่อย เตะถีบ ในช่วงที่ฝัน ซึ่งสามารถพบได้ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
  • ปัญหาด้านระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic dysfunctions) ได้แก่ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่, ปัสสาวะลำบาก ท้องผูก อวัยวะเพศไม่แข็งตัวในผู้ชาย มีอาการหน้ามืดหรือเป็นลมเนื่องจากความดันต่ำเมื่อมีการเปลี่ยนท่าทาง เช่น จากท่านอนเป็นท่านั่ง หรือ ยืน เป็นต้น
  • ปัญหาด้านอารมณ์ พฤติกรรมและความจำ (Mood-behavior-cognitive impairments) ได้แก่ อารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล ซึ่งพบได้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของโรค ส่วนความจำหลงลืม หรือ ความบกพร่องในการคิดการตัดสินใจนั้นมักจะพบในช่วงท้ายๆของโรค เป็นต้น
  • ปัญหาเรื่องการได้กลิ่นที่ลดลงหรือไม่ได้กลิ่น (Hyposmia/Anosmia) ซึ่งสามารถพบได้ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
  • ปัญหาเรื่องอาการปวด ชา หรือ เมื่อยล้า กล้ามเนื้อแขนขา ซึ่งอาจจะเกิดได้ทั้งช่วงที่ยารักษาอาการโรคพาร์กินสันหมดฤทธิ์ หรือ ช่วงยาออกฤทธิ์

 

 

 

แนวทางการรักษาโรคพาร์กินสัน

     เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคของความเสื่อมของระบบประสาท ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันและการรักษาให้หายขาด การรักษาที่มีในปัจจุบันจึงมุ่งเน้นไปที่การช่วยให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวที่คล่องมากขึ้น โดยรักษาได้ใน 3 วิธี ได้แก่

 

1.  การรักษาด้วยยา 

     ยารักษาอาการโรคพาร์กินสันทุกชนิดมีผลควบคุมอาการกล้ามเนื้อฝืดเกร็งและเคลื่อนไหวช้าได้ดี แต่ผลควบคุมอาการสั่นและการทรงตัวที่ไม่มั่นคงนั้นไม่แน่นอน ยารักษาโรคพาร์กินสันที่มีในประเทศไทย ได้แก่

  • ยากลุ่มลีโวโดปา (Levodopa combinations) ซึ่งเป็นยากลุ่มที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของตัวรับโดปามีนในสมองโดยตรง (Dopamine agonists)
  • ยาป้องกันการทำลายสารโดปามีนในสมอง (MAO-B inhibitors)
  • ยายับยั้งการทำลายยาลีโวโดปา (COMT inhibitor) ซึ่งจำเป็นที่จะต้องให้คู่กับยาลีโวโดปา เป็นต้น โดยเป้าหมายในการรักษาคือ  ให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


 

ภาวะแทรกซ้อนหลังทานยา

     เมื่อได้รับการรักษาด้วยยาไปเป็นเวลา 3-5 ปีนั้น ร้อยละ 30-50 ของผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนทางการเคลื่อนไหว ซึ่งชนิดที่พบได้บ่อย เช่น อาการยุกยิก (Dyskinesia) ในช่วงที่ยากำลังออกฤทธิ์หรือยาหมดฤทธิ์เร็วขึ้นกว่าเดิม (Wearing-off) เป็นต้น
 

 

2.  การรักษาด้วยการผ่าตัด

     ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาแล้วไม่สามารถควบคุมอาการของโรคได้หรือได้รับจากผลข้างเคียงของยา การผ่าตัดเพื่อฝังเครื่องกระตุ้นในสมองส่วนลึก (Deep brain stimulation) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ให้ผลที่ดีในการควบคุมอาการของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดนั้นไม่ใช่วิธีการรักษาโรคให้หายขาด และไม่สามารถทำในผู้ป่วยได้ทุกราย
 

3.  การออกกำลังกาย

     การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ควรทำในผู้ป่วยโรคพาร์กินสันทุกรายและทุกระยะ ซึ่งเริ่มทำได้ตั้งแต่การยืดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายที่เป็นจังหวะ เช่น การเต้นรำในจังหวะแทงโก้ หรือ การรำไทเก๊กหรือจี้กง เมื่อทำเป็นประจำย่อมช่วยเพิ่มความสามารถในเรื่องการเดินและการทรงตัวแก่ผู้ป่วยได้

 

 

 

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างของอาการและอาการแสดงระหว่างโรคพาร์กินสัน และโรคการคั่งของน้ำในโพรงสมองชนิดความดันปกติ

 

พาร์กินสัน

 

 

พาร์กินสัน

 

 

ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันสามารถรับประทานอาหารได้เป็นปกติ แม้ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเสริม ยาฉีดหรือการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell) ใด ๆ ที่สามารถรักษา ชะลอ หรือ ป้องกันการเกิดโรคพาร์กินสันได้

 

โรค NPH หรือ โรคภาวะน้ำคั่งในโพรงสมอง โรคที่ผู้สูงอายุทุกคนมีโอกาสเป็น อ่านเพิ่มเติม คลิก >> https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/1651

 

 

 

 

23/02/65