เสียงจากผู้รับบริการ

คุณ กมลรัตน์ ดีมาก

อดีตผู้ป่วยหัวใจโต

 “...เหมือนชีวิตตายแล้วเกิดใหม่นะคะ ตอนนั้นเราเหมือนตายไปแล้วด้วยซ้ำ พอเรากลับมารักษาแล้วได้เหมือนเดิมก็รู้สึกว่าเราเหมือนกลับมาแข็งแรงเป็นเด็กปกติอีกครั้งเพราะว่าตอนนั้นคือให้คีโม ทำให้ผมร่วง ทำให้หัวใจวายจนไม่คิดว่าจะกลับมาดีเหมือนอย่างทุกวันนี้อยากจะขอบคุณ คุณหมอทุกๆ ท่านที่รักษาหนูมาตั้งแต่ที่หนูเป็นแพ้ภูมิตัวเอง มาเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาวในต่อมน้ำเหลือง  จนมาเป็นภาวะหัวใจล้มเหลว อยากจะขอบคุณจริงๆ เลยค่ะที่ให้ชีวิตใหม่...”

 

เริ่มแรกมีอาการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะทำให้ไข้ขึ้นสูงและอาเจียนไม่หยุด จนเกิดอาการติดเชื้อในกระแสเลือดและเกิดเป็นจ้ำที่แขนซึ่งพอไม่นานก็เกิดเป็นก้อนขึ้นที่ขา จนรู้สึกว่าจะเดินไม่ไหวก็กลับไปตรวจอีกรอบโดยการตัดชิ้นเนื้อไปวิเคราะห์และผลปรากฏว่าเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาวต้องเข้ารับการรักษาโดยเคมีบำบัดเรื่อยไปอีกกว่า 6 เดือนอาการจึงดีขึ้นโดยปราศจากเชื้อมะเร็ง

 

แต่หลังจากนั้นอีกเพียง 3 เดือนก็เกิดอาการแบบใหม่อีกคือนอนราบไม่ได้เพราะจะหายใจได้ไม่คล่อง มีทั้งอาเจียน นอนไม่หลับ โดย “คุณหมอบัณฑิตา” ได้เริ่มจากการประเมินส่งเข้ารับการตรวจเอกซเรย์และพบว่าลักษณะของหัวใจโตผิดปกติซึ่งปกติแล้วจะมีขนาดไม่เกินครึ่งหนึ่งของทรวงอก แต่ในรายนี้โตไปเกือบเต็มในส่วนของช่องทรวงอกด้านซ้าย อีกทั้งยังมีลักษณะของเส้นเลือดบ่งบอกถึงภาวะน้ำท่วมปอดด้วย นอกจากนี้ยังได้ตรวจวัดด้วยคลื่นเสียงสะท้อน หรือที่เรียกว่า “เอคโคหัวใจ” และพบว่ากล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงสามารถทำงานได้แค่ 29% รวมกับมีลิ้นหัวใจรั่วอันเกิดจากโครงสร้างหัวใจที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้น จึงทำให้เกิดอาการเหนื่อยมากในวันที่คนไข้มาโรงพยาบาล แต่ภายหลังจากที่ได้รับการรักษาด้วยการปรับยาและพัฒนาสมรรถภาพของหัวใจแล้วตรวจซ้ำก็พบว่าขนาดของหัวใจได้เล็กลงจนใกล้เคียงกว่าปกติโดยไม่มีภาวะของน้ำท่วมปอดอีก พร้อมทั้งปรับยาเพิ่มการบีบตัวของหัวใจจนแข็งแรงขึ้นจึงอนุญาตให้ผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลไปใช้ชีวิตประจำวัน ไปเรียนหนังสือได้

 

 

หลังจากนั้นคุณแม่ได้มาปรึกษาคุณหมอเพื่อหารือในเรื่องของกิจกรรมที่บุตรสาวเคยทำได้ก่อนหน้านี้กับเพื่อนๆ ที่แข็งแรงนั้น ยังไม่มีความมั่นใจเพียงพอที่จะกล้ากลับไปทำได้ดั้งเดิม “คุณหมอบัณฑิตา” จึงได้แนะนำให้เข้ารับการทดสอบด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า VOMax ที่เป็นมาตรฐานที่ใช้ในการวัดสมรรถภาพหัวใจในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งจะใช้การปั่นจักรยานบกหรือการวิ่งสายพานเป็นอุปกรณ์หลักให้ผู้เข้ารับการทดสอบออกแรงปั่นหรือวิ่ง ซึ่งปรากฏว่าผลการตรวจระบุว่าสมรรถภาพหัวใจของ “น้องกมลรัตน์” ค่อนข้างแข็งแรง คุณหมอจึงได้แนะนำในส่วนของการออกกำลังกายในขั้นต่อไปโดยเจ้าตัวได้นำข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการออกกำลังกาย การใช้ชีวิตประจำวัน และล่าสุดก็สามารถเล่นกีฬา เล่นพละได้เท่ากับเพื่อนๆ แล้ว อีกทั้งยังสามารถไปประกวดร้องเพลงได้สมความตั้งใจอีกต่างหาก

 

คุณณีรดา ปรีเปรม

อดีตผู้ป่วยเนื้องอกในสมอง

“คำว่าเนื้องอกมันเป็นอะไรที่ไกลตัวเรามาก เรารู้สึกว่าเราเด็กมาก 
จนมาคิดว่า นี่ฉันต้องเป็นเนื้องอกหรอ”

คุณณีรดา ปรีเปรม อดีตผู้ป่วยเนื้องอกในสมองอายุ 24 ปี ในวัยเพียงเท่านี้ถือว่ามีโอกาสเพียงแค่ 1 ใน 100 เท่านั้นที่จะเป็น หลังจากที่มีอาการเวียนหัวอยู่บ่อยครั้ง วนเวียนเข้าออกโรงพยาบาลมาหลายที่ ทานยาเท่าไหร่ก็ไม่หาย ในที่สุดคุณณีรดาก็มีอาการปวดหัวจี๊ด เจ็บๆหายๆ 5-6 วันติดต่อกัน นอนหรือทำงานไม่ได้เลยจนต้องเข้ามาหาหมอ
ที่โรงพยาบาลรามคำแหง


“ตอนแรกตรวจเบื้องต้นก็ได้ยาไปกิน เพราะสันนิษฐานว่าเป็นไมเกรนจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราและการตรวจอื่นๆที่ไม่พบอาการผิดปกติ
แต่พอเอายาไปกินก็ยังไม่ดีขึ้นเลยกลับไปหาหมอใหม่ คราวนี้คุณหมอส่งเข้า MRI เลยผลออกมาปรากฏว่า เรามีเนื้องอกอยู่ที่ต่อมใต้สมอง”

พอรู้อย่างนั้นก็ช๊อกนะ ความคิดหลายอย่างมันก็ประเดประดังเข้ามา
คุณหมอก็อธิบายถึงการรักษาว่ามีการผ่าตัดกับกินยา ตอนแรกเราจะเลือกกินยา เพราะเรากลัวการผ่าตัด กลัวโดนเจาะสมอง กลัวห้องผ่าตัดจากภาพจำที่มีไฟสีส้มๆ ผ้าสีเขียวเปื้อนเลือดเต็มไปหมด แต่การกินยามันก็มีข้อแม้คือเราต้องกินไปตลอดชีวิต แถมก้อนเนื้องอกมันก็ไม่หายไปแค่ฝ่อลงเท่านั้น เราเลยขอเวลาคุณหมอตัดสินใจ ขอปรึกษาครอบครัว
คุณหมอก็เคารพเรานะ ไม่ได้กดดันอะไร เพราะหมอเขาก็คงรู้ว่าเรากลัว”

สุดท้ายเราตัดสินใจ เลือกการผ่าตัด คุณหมอก็บอกว่ามันไม่ใช่การผ่าตัดแบบที่เราคิดนะ เราไม่ต้องเจาะกะโหลก เป็นการผ่าตัดส่องกล้องผ่านทางจมูกมีแผลนิดเดียว ก่อนเข้าผ่าตัดคุณหมอตรวจเราละเอียดมาก มากจนกระทั่งเราคิดว่า มันต้องขนาดนี้เลยหรอ แต่ก็ดีนะ มันหมายถึงความใส่ใจของเขา พอเข้าห้องผ่าตัดบรรยากาศมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด คุณหมอพยาบาลยิ้มแย้มสอบถามอาการกับเราตลอด เราดมยาสลบแล้วก็หลับไป ตื่นมาเราไม่เจ็บเลย รู้สึกดีมากจนหายกลัวการผ่าตัดไปเลย เราพักฟื้นอยู่แค่ 2 คืน ก็กลับบ้านได้แล้ว หลังจากนั้นก็เป็นการดูแลแผลในจมูกจากการผ่าตัดนิดหน่อย ไม่ถึง 15 วันแผลก็หายดี

หลายคนบอกเราว่าทำไมเลือกโรงพยาบาลนี้ ที่นี่ทำให้เรามั่นใจได้ว่าอุปกรณ์เขาพร้อม คุณหมอเก่ง ไม่ต้องรอว่าจะได้รักษาเมื่อไหร่ บางเรื่องมันรอไม่ได้ถูกมั้ย? การบริการที่นี่ก็ดีคุณหมอ พยาบาล แม้แต่บุคลากรก็ดูแลเราเป็นอย่างดี ถ้าเราจ่ายมากขึ้นอีกหน่อย แล้วเราได้อะไรดีๆกลับมา ได้ชีวิตใหม่กลับมา เราว่าเรายอมจ่าย”

คุณปิยะ พสุทันท์

อดีตคนใข้โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

“ หลังจากที่ผมเข้ารับการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุกหัวใจเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก็คิดว่าอาการรุนแรงต่างๆ จากโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะจะจบลง สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ตามปกติโดยไม่ต้องกังวลว่าอาการจะกำเริบจนอาจเสียชีวิตได้ตลอดเวลา แต่จู่ๆ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อผมมีอาการโรคหัวใจกำเริบขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ !! 
 .
ผมจึงตัดสินใจมาที่นี่ พอตรวจก็พบว่าหัวใจขาดโพแทสเซียม ตอนแรกคุณหมอให้ทานยาโพแทสเซียมเสริม แต่มันก็ไม่หายขาด สุดท้ายแล้วคุณหมอจึงแนะนำให้รักษาด้วยเทคโนโลยีจี้สลายระบบไฟฟ้า จากที่ได้ฟัง มันน่าจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ เลยตัดสินใจทำ”

ซึ่งหมอต้องบอกเลยนะครับ ว่าวิธีการนี้ถือเป็นวิธีการที่ค่อนข้างซับซ้อนและอาจต้องใช้เวลานาน แพทย์ที่ทำการรักษาต้องมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก และอุปกรณ์ต้องพร้อม เพราะหากเกิดความผิดพลาดอาจทำให้ผู้ป่วยหัวใจทะลุจนเสียชีวิตได้ สำหรับคุณปิยะนั้นใช้เวลาในการจี้นานถึง 7 ชั่วโมง สามารถรักษาได้ไปถึง 2 จุดใหญ่ๆ และยังเหลืออีก 2 จุดเล็กที่ไม่สามารถจี้ได้ทันที คุณหมอจึงได้ทำพิจารณาการรักษาอีก 2 จุดภายหลัง
.
หลังจากที่ผ่าตัดกลับมาคุณปิยะสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม เพราะทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ด้วยการทานยาสม่ำเสมอ ลดความเครียดจากการทำงานลง หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ อาการหัวใจเต้นผิดจังหวะขั้นรุนแรงไม่เกิดขึ้นอีกเลย แม้ว่าจะต้องเดินทางไปต่างประเทศถึง 15 ชั่วโมง อาการก็ยังปกติดีอยู่ หมอรามดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งให้คุณปิยะหายจากอาการดังกล่าว ทำให้ได้ใช้ชีวิตอย่างอุ่นใจและปลอดภัยมากขึ้นนะครับ